เรื่องผีที่นครสวรรค์


1.

เรื่อง  สยองในคืนวันดับ

เมื่อสัก 15 ปีก่อนได้ สมัยที่ผมเรียนจบใหม่ๆ ช่วงรองานก็กลับมาอยู่ที่บ้านที่จังหวัดนครสวรรค์ครับ ตอนนั้นเพื่อนแถวบ้านก็กลับมารองานเหมือนกัน เป็นเพื่อนผู้หญิง 2 คน ชื่อ หนิง กับ ใหม่ ทั้งคู่มีแผนจะไปดูดวงกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่อยู่ต่างอำเภอไกลออกไปพอสมควร โดยคุณยายของหนิงเป็นคนได้ข้อมูลมา แล้วชวนผมให้เป็นคนขับรถพาไป แลกกับอาหารมื้อใหญ่ ซึ่งผมก็โอเคไม่มีปัญหา หลังจากตกลงกันเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางกัน โดยคุณยายของหนิงได้ยืมรถของพ่อหนิงมา เป็นรถเก๋งรุ่นเก่าแต่นั่งสบายตามสไตล์รถยุโรป แต่รอสาวๆ แต่งตัวเตรียมพร้อมกัน กว่าจะออกเดินทางได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวัน

พวกเราขับไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนมากนัก ผมคำนวนระยะทางคร่าวๆ น่าจะใช้เวลาไม่มาก แต่ก็มีแวะถามทางตลอดเหมือนกัน เพราะเส้นทางที่จะไปผมไม่เคยชิน จากถนนใหญ่ก็เริ่มเข้าสู่ถนนยางมะตอยในเขตอำเภอเล็กๆ แล้วก็เข้าสู่ถนนดินลูกรังในหมู่บ้าน ขับหลงซะเป็นส่วนใหญ่ และรถที่คุณยายหนิงเอามาก็เริ่มส่อแววไม่ค่อยดี ความร้อนขึ้น ต้องคอยพักรถเป็นระยะๆ ผมบอก 2 สาว หนิง กับใหม่ว่า กลับกันเถอะ รถทำท่าไม่ค่อยดีแล้ว ไว้ค่อยมาใหม่คราวหลัง..ใหม่เห็นด้วยกับผม แต่คุณยายหนิงหัวรั้นบอก ไปเถอะน่า มาตั้งไกลแล้ว รถคันนี้มันก็เป็นยังงี้แหละ ปกติ พ่อหนิงใช้อยู่ประจำ..ผมก็หันไปถามใหม่อีกที ใหม่คงเกรงใจหนิง เลยบอกว่า งั้นก็ไปต่อเถอะ..ส่วนผมก็ขัดไม่ได้ซะด้วย ไปก็ไปครับ.. กว่าจะคลำทางมาถึงหมู่บ้านได้ก็ล่อไปเกือบเย็นแล้ว ทางเข้าหมู่บ้านก็สุดแสนจะกันดาร ต้องผ่านไร่นาของชาวบ้านเข้ามา ถนนก็อย่างกับผิวดวงจันทร์ เล่นเอาผมเหนื่อยกว่าจะถึงบ้านอาจารย์ดูดวง.. พอถึง ผมก็ให้ 2 สาว และคุณยายเข้าไปดูดวงให้หายอยาก ส่วนผมขออยู่เช็ครถข้างนอก

พอเช็ครถเติมน้ำในหม้อน้ำเรียบร้อย ผมก็ไปเดินเล่นแถวๆ นั้น มองนาฬิกาก็ 5 โมงเย็นแล้ว ผมสังเกตคนในหมู่บ้านเริ่มปิดประตูหน้าต่างบ้านกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะช่วงที่ผมไปเป็นช่วงหน้าหนาว มืดไว ชาวบ้านตามชนบทก็คงจะเข้านอนกันไวเป็นธรรมดา แล้วผมก็ไปเห็นร้านค้าเล็กๆ ร้านหนึ่งกำลังจะปิดเหมือนกัน ผมเลยเดินเข้าไปขอซื้อบุหรี่ กับน้ำอัดลม ป้าเจ้าของร้านหยิบให้ผม แล้วถามผมว่า มาจากไหน ทำไมมาเอาช้าป่านนี้?’ ผมก็อธิบายป้าแกไป แล้วถามแกต่อว่า ‘..ทำไมเหรอครับ ที่ว่ามาช้า?’ ป้าแกบอกว่า วันนี้เป็นคืนวันดับ ชาวบ้านเขาปิดบ้านไว ไม่มีใครไปไหนมาไหนหรอก..แล้วป้าแกยังบอกผมอีกว่า รีบกลับได้แล้วนะ มืดค่ำเอาจะกลับลำบาก..ผมเดินออกจากร้านป้าแกมาอย่างงงๆ ไม่เข้าใจที่ป้าแกพูดหรอกครับ วันดับคืออะไร? ก็เดินสูบบุหรี่ ดูดน้ำอัดลมเพลินๆ พอเดินมาถึงรถ ก็เห็นทุกคนยืนยิ้มรออยู่แล้ว ผมก็เปิดรถเชิญ 2 สาวและคุณยายขึ้นรถทันที

พอขึ้นรถ 2 สาวก็เม้าท์กันเรื่องดูดวงโขมง ผมก็รีบขับรถออกไปให้เร็วที่สุดตามที่ป้าร้านขายของบอก มองดูนาฬิกาเกือบ 6 โมงแล้ว พระอาทิตย์ตกเร็วกว่าที่คิดไว้ ผมรีบทำเวลาแข่งกับแสงสุดท้ายของวัน 2 สาวถามผมว่าจะรีบขับไปไหน? ผมก็ไม่ได้ตอบ ยังคงใช้สมาธิในการขับอย่างเต็มที่.. รถวิ่งผ่านต้นโพธิ์ใหญ่ เลาะไปตามถนนลูกลัง ขนานกับคันนาของชาวบ้าน ในใจผมก็คิดว่า ทำไมตอนเข้ามาไม่เห็นต้นโพธิ์หว่า?’ แต่ก็ไม่ได้อะไร รีบขับต่อ.. พระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขาแล้ว เหลือแต่แสงสีส้มๆ ที่ขอบฟ้า ผมเปิดไฟหน้ารถเพื่อขจัดความมืดที่เริ่มเข้าปกคลุม.. ขับไปขับมา ไม่ยักเจอทางออกหมู่บ้านสักที? ผมเลยบอก 2 สาวให้หยุดเม้าท์กันก่อน ช่วยผมดูทางด้วย 2 สาวก็บอกว่า ถูกแล้ว ผมขับมาถูกแล้ว เพราะทางเข้ามามันตรงตลอด ไม่มีแยกซ้าย-ขวาเลย เพราะงั้นทางออกก็ต้องขับตรงอย่างเดียวสิ เดี๋ยวก็จะขึ้นถนนยางมะตอยได้แล้วล่ะ.. ผมก็จำได้ว่าเป็นแบบนั้น แต่ขับมาตั้งนานแล้วน่าจะเจอถนนยางมะตอยสิ ทำไมยังเป็นดินลูกรังอยู่เลย? ผมใช้ความเร็วมากขึ้น เปิดไฟสูงตลอดเพื่อให้เห็นทางชัดๆ จริงอย่างที่ 2 สาวพูด ไม่มีทางแยกอะไรเลย แต่ทำไมขับไม่ถึงถนนสักที.. ผมเริ่มใจไม่ดีแล้ว ทีนี้ทุกคนก็คงเริ่มรู้สึกได้เหมือนกัน เงียบกริบกันทั้งรถ พยายามช่วยกันมองทาง แต่ก็ไม่เจอจุดสังเกตอะไรเลยนอกจากทุ่งนาโล่งๆ

ความมืดเข้าปกคลุมเต็มที่ มองอะไรไม่ค่อยเห็นเหมือนเดิมแล้ว ได้แต่อาศัยไฟหน้ารถอย่างเดียว ขับต่ออีกสักพัก รถก็ดันเริ่มมีอาการอีกแล้ว ความร้อนขึ้นครับ ผมภาวนาขอให้ออกจากหมู่บ้านได้ก่อนเถอะ ไม่อยากมาติดอยู่ที่นี่ ..แต่แล้ว สวรรค์ไม่เป็นใจ รถกระตุก 2-3 ทีแล้วดับ.. ทุกคนขวัญเสียกันหมด ผมค่อยๆ เลี้ยวรถเข้าข้างทาง แล้วลองสตาร์ทอีกที แต่ไม่เป็นผล เครื่องน๊อคซะแล้ว.. 2 สาวได้แต่ถามผมว่า รถเป็นอะไรๆ ซ่อมดิๆผมเลยพูดเสียงดังออกไปว่า บอกแล้วไงว่าอย่ามาๆ รถมันจะเสียตั้งแต่แรกแล้ว เสียจริงๆ เลยทีนี้!2 สาวเงียบกริบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ..หลังจากสงบสติได้ ผมก็ลงจากรถเปิดกระโปรงหน้ารอให้เครื่องเย็นลง เผื่อจะไปกันต่อได้ ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดที่สุด ใจผมกลัวว่าจะมีโจรมาจี้พวกเรา แถมมากับผู้หญิงด้วย เป็นห่วงเพื่อน ผมเดินไปเปิดกระโปรงท้ายรถ หยิบประแจมาถือเตรียมไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน

ผมเห็น 2 สาวหวาดกลัวกันมาก คุณยายหนิงก็เริ่มย้ายไปนั่งข้างหลังรถคู่กับหนิง ทั้งคู่จับมือกันแน่น เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ผมเลยบอกไปว่า เดี๋ยวรอเครื่องเย็นก็ไปกันต่อได้แล้ว..ทุกคนต่างพยักหน้าพร้อมกัน ..รอเป็นชั่วโมง เครื่องเริ่มเย็นลง เพราะอากาศหนาวช่วยได้เยอะ ผมลองสตาร์ทเครื่องอีกที แต่มันก็ไม่ติด.. พยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่เป็นผล ลองขยับขั้วแบต สายหัวเทียน ทำทุกทางที่พอรู้มาแต่ก็ไร้ผล พวกเราทุกคนติดแหงกเสียแล้ว.. ผมนึกขึ้นมาได้ โทรศัพท์! คุณยายหนิงมีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในสมัยนั้นมือถือไม่ได้มีกันทุกคนเพราะราคามันแพง จะมีก็ของคุณยายหนิงนี่ล่ะ ผมบอกให้ลองโทรไป 191 บอกรถเราเสีย หรือไม่ก็โทรหาพ่อหนิงก็ได้ คุณยายหนิงรีบทำตามทันที แต่ความหวังสุดท้ายก็พังลง บริเวณนั้นมันไกลกันดารเสียจนไม่มีคลื่นให้โทรออกได้เลย.. หมดหนทางแล้วจริงๆ เป็นอันว่าเราทุกต้องนอนคอยกันอยู่ในรถ ผมปิดไฟทั้งหมดเพื่อประหยัดแบต หวังว่ารออีกสักพักใหญ่ๆ ลองสตาร์ทอีกทีโชคอาจเป็นของเราบ้าง ผมพยายามบอกให้ทุกคนไม่ต้องกลัว ชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ คุยกันจนไม่มีอะไรจะคุย ด้วยความเหนื่อย เลยพากันหลับไป

ผมรู้สึกตัวอีกที อากาศหนาวมาก ขนลุกไปหมด ผมมองที่ 2 สาวยังคงหลับกันอยู่ ผมลองบิดกุญแจสตาร์ทอีกที ..เงียบกริบเหมือนเดิม หมดหวังแล้ว มองนาฬิกาในรถ เป็นเวลาเกือบตี 2 เอาวะ..อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ทนๆ หน่อย พยายามข่มตา หลับ แล้วผมก็หลับไปไม่รู้ตัว.. มารู้สึกตัวอีกครั้งเพราะ 2 สาวมาเขย่าตัวผม แล้วบอกว่า เค้าเห็นเงาคนเดินอยู่บนคันนา มากันหลายคนเลย..ผมขยี้ตา แล้วค่อยๆ มองผ่านกระจกรถไป ก็เห็นอย่างที่บอกจริงๆ เป็นคนหลายคนเดินเรียงแถวกันมาบนคันนา เดินตรงไปที่ไหนสักแห่ง ในตอนนั้นผมกลัวอย่างเดียวว่าจะเป็นโจรมาจี้ เลยบอก 2 สาวว่า ถ้ามันจะเอาไร ก็ให้มันไปนะ อย่าขัดขืน..แล้วผมก็คอยสังเกตการณ์ต่อไป ซึ่งดูเหมือนจำนวนคนจะเพิ่มมากขึ้นๆ เดินมากันไม่ขาดสาย มีชายหญิง บางคนจูงเด็กมาด้วยก็มี ลักษณะเหมือนชาวบ้านทั่วไปนี่ล่ะ พวกเขาค่อยๆ เดินมาใกล้รถเรามากขึ้น จากคันนาก็เดินลงมายังถนนลูกลัง เดินเข้ามาใกล้รถเรา จนแทบจะเบียดเลย 2 สาวกอดกันแน่น ส่วนผมใจเต้นไม่หยุด กลัวก็กลัว แต่แล้วพวกคนที่ว่าก็เดินผ่านรถเราไปเฉยๆ เหมือนกับว่ารถเราไม่มีตัวตน ค่อยๆ เดินหายไปในความมืดข้างหน้า ผมดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 20-30 คนได้ ทุกคนในรถนั่งตัวสั่น แล้วเสียงใหม่สวดมนต์ดังขึ้นมาจากข้างหลังเพื่อขับไล่ความกลัว ผมนั่งสังเกตการณ์ต่อไป แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นคือ คนพวกนั้นกลับค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นเหมือนศพ! บางคนแขนขาขาด หัวขาดก็มี สรุปแล้วนี่ไม่ใช่คน แต่เป็นผีวิญาณเร่ร่อนหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ เดาว่าพอสวดมนต์แล้วเราจะเห็นร่างจริงของพวกเขา! ทุกคนกลัวกันมาก นั่งก้มหน้าก้มตาร้องไห้กัน ส่วนผมก็พยายามมองพวกเขาเดินลับตาหายไปในความมืดสนิท..

พวกเรารอกันจนเช้า ไม่มีใครได้นอนต่อ จนมีชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา 2 คน ในมือถืออุปกรณ์จับปลามากัน เขาแวะมาถามว่ารถเป็นอะไร? ผมเลยบอกรถเสียตั้งแต่เมื่อคืน เขา 2 คนทำสีหน้าตกใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร และอาสาช่วยไปตามรถลากจากในเมืองมาให้ กว่าจะเอารถออกได้เกือบเที่ยง.. หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ คุณยายหนิงก็โทรให้พ่อหนิงมารับพวกเรา พวกเราโดนด่าเละ และถูกห้ามไม่ให้ไปไหนไกลๆ กันอีก หลังจากวันนั้นพวกเราทั้งก็เข็ดกันไปตามๆ กันเลยล่ะครับ..

Story by คุณเลิฟ

ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
.............................................
............................................



2.


เรื่อง คำขู่อาฆาต

ผมเป็นคนนครสวรรค์ครับ เมื่อสัก 10 กว่าปีก่อน ตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ช่วงนั้นผมเที่ยวกลางคืนเกือบทุกคืน มีเพื่อนกินเหล้า เข้าผับตลอด จนมีอยู่วันหนึ่ง ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่งในผับ เธอสวย และอายุไล่เลี่ยกับผมเลย ผมบอกเพื่อนว่าชอบจะจีบ แล้วผมก็จีบเธอติดด้วยสิครับ ช่วงนั้นผมหลงเธอมากๆ ถึงขนาดพาเธอมาอยู่ที่บ้านผมเลย แต่นิสัยเธอเป็นคนขี้เกียจ ตื่นสาย งานบ้านไม่ทำ จานไม่ล้าง เอาแต่ใช้เงินเที่ยวเตร่ไปเรื่อย แม่ผมไม่ชอบเอามากๆ และเธอก็ยังทะเลาะกับแม่ผมบ่อย จนมีอยู่ครั้งหนึ่งถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับแม่ผม จนผมทนไม่ไหว เลยเอ่ยปากไล่เธอออกไปจากบ้าน แต่เธอไม่ร้องไห้เลยครับ แถมยังชี้หน้าผม กับแม่ แล้วพูดจาอาฆาตไว้ว่า แล้วพวกมึงจะได้เห็นดี กูไม่เอาพวกมึงไว้แน่!แล้วเธอก็เก็บข้าวของออกไปจากบ้านไป..

ช่วงนั้นแม่ห้ามผมเที่ยวกลางคืนอีก เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เธอคนนั้นอาจจะจ้างคนมาทำร้ายผมก็ได้ ผมก็โอเค ไม่ไปก็ไม่ไป เลยได้แต่อยู่กับบ้าน ถ้าเหงาก็ซื้อเบียร์มานั่งจิบในห้องเอา เป็นอย่างนี้ประมาณ 2 อาทิตย์.. จนคืนหนึ่ง ก็เกิดเรื่องครับ วันนั้นผมรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ คือมันตัวร้อนๆ เหมือนเริ่มจะเป็นไข้ อาบน้ำก็ไม่หาย เลยกินยาแล้วเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ผมดิ้นไปมานอนไม่หลับ อยู่ๆ ก็คิดถึงเธอคนนั้นขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ไม่เคยคิดถึงเลยตั้งแต่เธอจากไป ผมลุกขึ้นจากเตียงไปดื่มน้ำในตู้เย็น อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีลมพัดมาปะทะตัววูบนึง แรงมาก ผมมองไปที่หน้าต่างห้องครัวเห็นมันเปิดอยู่ ก็เข้าใจว่าฝนใกล้ตกลมเลยพัดเข้ามา ผมเลยเดินไปปิดแล้วขึ้นไปนอนต่อ ใช้เวลาสักพักผมถึงจะหลับ.. แต่แล้วผมก็มาสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ผมนอนตะแคงอยู่ แต่มันรู้สึกเหมือนมีคนมานอนอยู่ข้างหลังผม คือได้ยินเสียงหายใจชัดเจนดัง ฟืด ฟาดยาวๆ ช้าๆ เป็นจังหวะ ผมเริ่มใจไม่ดีละ สักพัก สิ่งที่อยู่ข้างหลังผม มันก็ดึงมือผมไป รู้สึกได้ถึงความเย็น เหมือนเอามือไปแช่ในน้ำเย็นยังไงยังงั้น ผมรวบรวมกำลังเด้งตัวขึ้นมา แสงไฟจากโคมไฟบนหัวนอนทำให้มองเห็นรอบๆ ห้องได้ แต่ก็ไม่มีอะไร ว่างเปล่า.. ตอนนั้นผมไม่กลัวเท่าไรนะ แต่ตกใจมากกว่า ยังคิดเอาว่าคงฝันไป หรือน่าจะเกิดจากพิษไข้ก็เป็นได้

เช้ามาผมก็ไปทำงานตามปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอตกกลางคืนเวลานอน ผมมักจะเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับที่ผมเล่าข้างต้นบ่อยๆ แรกๆ ก็คืนเว้น 2-3 คืน.. คืนเว้นคืน.. จนหลังๆ มาผมเจอทุกคืน.. และคืนที่เลวร้ายที่สุดก็มาถึงครับ คืนนั้นผมเข้านอนตามปกติ สวดมนต์ก่อนนอน พอกำลังจะเคลิ้มหลับ ไอ้สิ่งนั้นมันก็มาอีกแล้ว และคราวนี้มันจัดผมหนักเลย มาทั้งรูป ทั้งกลิ่น ทั้งสัมผัส คือมันมานอนกอดผมเลยครับ ผมเหลือบหางตามอง มันเป็นรูปร่างเหมือนคน ตามตัวมีแต่แผล เหมือนแผลไฟไหม้ ดำๆ แดงๆ ทั้งหน้าทั้งตัวเลย กลิ่นเหม็นเหมือนเนื้อเน่าไหม้ๆ เค็มๆ ตลบอวบอวลไปหมด ผมนี่แทบจะอ้วกให้ได้ และยิ่งไปกว่านั้น มันมากระซิบข้างหูผมครับว่า เรารักเธอนะ.. เรารักเธอนะ..แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะเหมือนเยาะเย้ย จนผมแสบแก้วหูไปหมด ผมกลัวจนร้องไห้ ฉี่แตก นี่เล่าแบบไม่อายเลยครับ คือกลัวจนช็อคสลบไปเลย.. มารู้สึกตัวก็เช้าแล้ว จับไข้อีกรอบ ไม่ได้ไปทำงาน แต่ผมก็ยังไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง กลัวแม่จะเป็นห่วง

 

ช่วงนั้นผมไม่อยากให้มีกลางคืนเลย พอตะวันตกดิน ผมจะไม่อยากเข้านอน บางคืนฝืนไปถึงตี 2 ตี 3 ให้มันง่วงจัดๆ จนสวิทช์ตัดไปเองค่อยนอน แต่บางครั้งก็ไม่รอดครับ มันยังตามรังควาญผมตลอด จนผมเริ่มโทรมเพราะไม่ได้หลับได้นอน จนหนักเข้าผมไม่นอนบ้านละครับ พอเลิกงานกลับมาอาบน้ำกินข้าวกับแม่เสร็จ ก็ต้องโกหกว่ามีงาน แล้วขับรถออกไป ขับไปจนกว่าจะง่วง อาศัยจอดนอนตามปั๊ม ตามที่จอดรถโรงแรม อพาร์ทเม้นท์ ที่เขาให้จอดฟรี.. เป็นแบบนี้อยู่หลายวัน แต่ก็แปลกที่ผมนอนในรถกลับไม่เจอไอ้สิ่งนั้น แต่ผมก็ไม่ไหวครับ ร่างกายมันทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ไปหลับตอนทำงานเป็นประจำจนถูกตำหนิ งานการเสีย สุขภาพกาย สุขภาพจิตเสีย เพื่อนๆ บอกผมเริ่มพูดคนเดียว ซึ่งผมก็ไม่รู้ตัวเองมาก่อน ได้แต่งงว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับผมวะ? พอผมกลับมานอนบ้าน ผมก็เจอไอ้สิ่งนั้นอีกทุกคืน เชื่อไหมครับ ผมร้องไห้ หัวเราะ ชกกำแพง เหมือนเสียสติเลย จนแม่ผมนึกว่าผมเป็นบ้า ต้องพาไปรักษาที่จิตเวช พอผมเล่าเรื่องให้หมอฟัง หมอก็บอกว่าผมคิดไปเอง เครียด มีอาการของโรคซึมเศร้า เลยให้แต่ยานอนหลับมากินก่อน.. ตอนนั้นผมเสียงาน โดนเลิกจ้าง เพื่อนฝูงไม่คบ คิดว่าผมบ้า มีแต่แม่เท่านั้นที่คอยดูแลผม ช่วงนั้นผมคิดอยากฆ่าตัวตายจริงๆ คือมันกลัวจนถึงขีดสุดแล้ว

จนมีอยู่วันหนึ่ง ผมขับรถออกจากบ้านไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย จนเริ่มรู้สึกคอแห้ง เลยแวะซื้อน้ำดื่ม ขณะกำลังเลือกน้ำในตู้ หูผมก็ได้ยินเสียงคนแก่ 2 คนคุยกัน จับใจความได้ว่า ลูกเขยฉันนะ โดนเมียน้อยทำของ เกือบตายแล้ว ดีนะได้อาจารย์ช่วยไว้ทัน..เท่านั้นล่ะครับ มันเหมือนมีพระมาโปรด หรืออะไรก็แล้วแต่ เหมือนเทปกรอย้อนกลับไปถึงคำพูดอาฆาตของเธอคนนั้น ผมเริ่มคิดแล้วว่าผมอาจจะโดนของ ผมไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปหาป้า 2 คนนั้นแล้วถามว่า อาจารย์ท่านนั้นอยู่ที่ไหนครับ?’ ป้าแกก็ทำหน้างงๆ แต่แกก็บอกที่อยู่กับผมมา บอกว่าชื่ออาจารย์สมบัติ เป็นหมอไสยศาสตร์ แก้มนต์ดำต่างๆ ผมรีบจดที่อยู่ทางไปอย่างละเอียด พอกลับมาบ้าน ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ฟัง แม่ผมตกใจมากแทบจะร้องไห้ บอกว่า ทำไมไม่รีบบอก ปล่อยจนถึงขนาดนี้ไม่ตาย ไม่บ้าก็บุญแล้วลูก..

วันรุ่งขึ้น ผมกับแม่รีบออกจากบ้านไปตามที่อยู่ของอาจารย์สมบัติทันที ทางไปค่อนข้างไกล และกันดารมาก ออกจากตัวอำเภอไปไกล แถมต้องเข้าไปยังหมู่บ้านที่ไม่มีถนน มีแต่ทางลูกรัง และคันนาในสมัยนั้น กว่าจะไปถึงเล่นเอาเหนื่อยครับ พอถึงผมก็เล่าทุกอย่างให้อาจารย์สมบัติฟัง อาจารย์แกนั่งหลับตาพักนึง แล้วบอกว่า โดนจริงๆ ของแรงมาก เป็นของพวกแขก ถ้าไม่แก้อาจถึงตาย หรือไม่ก็เป็นบ้าบอไปเลย..แล้วอาจารย์ก็บอกให้ผมเตรียมของมาในวันรุ่งขึ้น มีไข่ไก่ 6 ฟอง ธูป เทียนขี้ผึ้งแท้ บุหรี่ หมากพลู และน้ำเปล่า.. วันรุ่งขึ้น ผมกับแม่ก็กลับมาหาอาจารย์อีก อาจารย์บอกให้ผมถอดเสื้อ ถอดกางเกง แล้วให้นุ่งผ้าขาวม้า ทำพิธีขั้นแรก อาจารย์ให้แม่ผมเอาไข่ไก่ที่ซื้อมา 6 ฟอง มาวนรอบๆ ตัวผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วจากนั้นอาจารย์ก็ตอกไข่ใส่กาละมังให้ดู เชื่อไหมครับว่า ไข่ทั้ง 6 ฟองที่ตอกออกมานั้นเน่าหมดเลย มีหยดเลือดบ้าง ไข่แดงแตกเป็นสีคล้ำบ้าง ซึ่งก่อนมาผมเป็นคนไปซื้อไข่มาเองจากเซเว่น มันจะเน่าได้ยังไงทั้ง 6 ฟอง แถมผมมองอาจารย์ตลอด เพราะเคยฟังมาเหมือนกันเรื่องเล่นกลสลับของอะไรแบบนั้น แต่นี่คืออาจารย์แกทำให้ดูเห็นๆ รับไข่จากมือแม่ผมไปแล้วตอกสดๆ ให้ดูเลย.. ผมกับแม่เชื่อจริงๆ แล้วว่าผมโดนของ

 

พอตอกไข่เสร็จ อาจารย์ก็ให้ผมไปนั่งที่นอกชาน หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เหยียดขานั่งพนมมือ แล้วอาจารย์แกก็สวดคาถาอะไรสักอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่อง สวดอยู่นาน พร้อมกับทำน้ำมนต์ไปด้วย ขณะที่สวด อาจารย์ก็ถือมีดดาบยาวเท่าศอก ค่อยๆ เอามีดวางบนหัว หลัง แขน และขา เหมือนแตะๆ ทำแบบนั้นสลับไปมาๆ อยู่พักใหญ่ จนผมเริ่มรู้สึกเวียนหัว ในหูมีเสียงวิ้งๆ เหมือนจะเป็นลม เสียงสวดอาจารย์ยังคงก้องกังวาล ผมรู้สึกขนลุกซู่ตลอดเวลาสวด ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้นๆ อย่างไม่มีสาเหตุ ขณะที่ผมกำลังนั่งมึนๆ งงๆ อยู่นั้นเอง ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมากระทบที่หลังผมอย่างแรง 3 ครั้ง ปึก ปึก ปึกทำเอาผมเจ็บ และจุกมาก สักพัก ผมก็ถูกน้ำเย็นๆ ราดลงบนหัวโครมใหญ่ ตอนนั้นผมรู้สึกโล่ง เหมือนอะไรบางอย่างไหลออกไปจากตัวไปถึงปลายเท้า มันโล่งสบาย หูหายอื้อ ตาสว่าง สมองโปร่ง เหมือนคนนอนเต็มอิ่ม แล้วอาจารย์ก็มาตบไหล่ผม บอกลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้.. พอผมจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็มานั่งฟังอาจารย์ แกบอกว่า ของที่เอ็งโดนเป็นของแขก มันใช้ผีตายโหงที่เผาไม่ไหม้มาเล่นงานเอ็ง อาจารย์รู้ว่าใครเป็นคนทำ และได้ส่งมันกลับไปแล้ว แต่เอ็งไม่ต้องรู้หรอกว่าใคร แค่ทำบุญให้มากๆ ก็พอ..อาจารย์ยังบอกอีกว่า ให้เอาน้ำมนต์ที่ทำให้ ไปพรมให้ทั่วบ้าน และอาบ ดื่ม กิน เพื่อไล่ไอพรายจากตัวผม และจากตัวบ้านให้หมดสิ้น เป็นเวลา 7 วัน ก็จะไม่มีอะไรแล้ว..

ผมกับแม่ก็ลาอาจารย์กลับ แม่ผมส่งเงินให้อาจารย์หลายพันบาท แต่อาจารย์แกไม่รับ บอกว่าขอแค่ค่าครู 7 บาทเท่านั้น.. ผมอึ้ง และศรัทธาท่านมากๆ ขากลับผมถามแม่ว่า อาจารย์ทำอะไรผม? มันรู้สึกเจ็บๆ หลังแม่บอกว่า อาจารย์แกเอามีดดาบฟันลงกลางหลัง 3 ครั้งติดๆ กันอย่างแรง ขนาดแม่นั่งห่างๆ ยังได้ยินเสียงชัดเจน ก็ตกใจเหมือนกัน..พอผมกลับมาบ้านเปิดเสื้อดูหลัง ก็พบว่ามีแค่รอยแดงจางๆ เท่านั้นเอง ซึ่งมันแปลกมาก เพราะมีดดาบคมซะขนาดนั้น แถมยังฟันแรงขนาดนั้น กลับไม่เข้าเนื้อผมเลย ผมเข้าใจว่า ไอ้ที่ถูกฟันคงไม่ใช่ผม แต่คงเป็นไอ้ผีตนนั้นต่างหาก แล้วหลังจากวันนั้นผมก็ไม่เห็นผีตนนั้นอีกเลยครับ..

 

Story by คุณเลิฟ
ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
 
.............................................
...............................................




2.

เรื่อง เพื่อนที่เจอบนตึกเรียน
ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 1 ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เหตุการณ์ที่จะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี่เองครับ.. เย็นวันหนึ่งที่มหาวิทยาลัย ผมกับเพื่อนๆ ทำงานกลุ่มกันอยู่ที่อาคารเรียนรวม 1 ตอนแรกก็มีเพื่อนช่วยกันทำหลายคนนะครับ แต่พอดึกหน่อยประมาณ 4 ทุ่ม เพื่อนก็เริ่มกลับกันหมด เหลือแค่ผมกับเพื่อนชื่อเต้ย 2 คนเท่านั้นครับ ผมกับไอ้เต้ยทำงานกันต่อจนถึงประมาณตี 2 ก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว เลยจะกลับกัน
ผมปิดไฟในห้อง ไฟทางเดิน แล้วลงมาจากอาคารเรียนพร้อมกับไอ้เต้ย อาคารเรียนนี้ปกติจะมีทางลง 2 ทาง แต่ตอนดึกยามจะปิดเหลือแค่ทางลงเดียวครับ พอลงมาเต้ยมันก็ไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของมัน ที่จอดไว้ที่ลานจอดรถหน้าอาคารเรียนรวม เตรียมที่จะไปแวะส่งผมกลับหอพัก แต่ปรากฏว่าไอ้เต้ยมันก็นึกขึ้นได้ มันทวงที่ชาร์จแบตมือถือมัน เพราะผมยืมมันไปตอนทำงานอยู่บนอาคารเรียน แล้วผมลืมหยิบลงมา ผมเลยอาสาว่า เอ้อเดี๋ยวกูรีบขึ้นไปเอาให้..แล้วผมก็รีบกลับขึ้นไปข้างบนอาคารเรียนอีกครั้ง
ตอนทำงานก็ไม่ได้กลัวนะครับ แต่พอกลับมาคนเดียวเนี่ย มันมืดและวังเวงมาก ผมเปิดสวิทช์ไฟแต่เปิดไม่ติดเลย ผมเลยใช้ไฟมือถือส่องแทน ผมเดินขึ้นบันไดไป พอขึ้นไปมันจะเป็น 3 แยกครับ ห้องจะต้องไปทางด้านขวาซึ่งจะเป็นทางยาว คือมันมืดแบบไม่เห็นปลายทางเลยครับ.. พอใกล้จะถึงห้อง ผมก็เห็นเงาแว่บๆ พร้อมกับเสียงเท้าคนเดินเข้ามา ตอนนั้นตกใจมากครับ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นยาม ผมเลยส่องไฟไปสู้เงานั้น แบบว่าเอาไงเอากัน ..สรุปเป็นไอ้เต้ยเดินมานั่นเองครับ ผมก็โล่งใจมาก ถอนหายใจแล้วพูดว่า อ้าว มึงขึ้นมาเอาเองแล้วทำไมไม่บอกกูวะ?’ แล้วมันก็หันมายิ้มให้ไม่พูดอะไร แล้วเดินเปิดประตูเข้าไปในห้อง ผมกำลังจะเดินตามมันเข้าไป แต่ก็มีสายโทรเข้ามา สั่นอยู่ในมือพอดีเลย ผมไม่ทันดูว่าเป็นใครก็รับสายเลย ในสายบอกว่า ลงมาได้แล้ว ไม่ต้องเอาแล้วก็ได้ ค่อยมาเอาพรุ่งนี้ กูรีบ!ผมรีบดูรายชื่อว่าใครโทรมา และมันก็ขึ้นว่าไอ้เต้ยครับ! ผมบอกมันว่า กวนตีนละ! กูเห็นมึงอยู่เมื่อกี้..แล้วผมก็วางสายจะเดินเข้าไปในห้อง.. แต่ความคิดก็แทรกเข้าในหัวผมทันทีว่า ..ไอ้เต้ยมันจะมาตอนไหน มาทางไหน? ทั้งที่ทางขึ้นมีแค่ทางเดียว คือทางที่ผมเดินมา
ตอนนั้นในใจผมสั่นไปหมด ความรู้สึกเย็นวาบปะทะท้ายทอยมาเลย และคนเมื่อกี้ที่ผมเห็นอยู่เหมือนเต้ยมาก เสื้อผ้าหน้าตาอะไรเหมือนหมด ผมเลยรีบหันกลับวิ่งลงมาข้างล่างทันที เพื่อจะดูว่าไอ้เต้ยมันยังอยู่ไหม และภาพที่ผมเห็นคือ ไอ้เต้ยนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์กดมือถือเล่นอยู่! ..ตอนนั้นผมรู้เลยว่าโดนเข้าให้แล้ว ผมบอกไอ้เต้ยว่า ไอ้เต้ย.. กูไม่ไปกับมึงแล้วนะ.. เดี๋ยวกูเดินไปเองแล้วผมก็รีบเดินกลับหอพักไป เพราะตอนนั้นผมกลัวหน้ามันมาก หลังจากนั้นทั้งสัปดาห์ ผมแทบไม่มองหน้ามันเลยครับ.. สรุปแล้ว คนๆ นั้นที่เดินเข้าไปในห้องคือใคร!? ผมก็ยังไม่รู้คำตอบจนถึงทุกวันนี้ครับ
Story by คุณแบงค์
ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
....................................................................................
....................................................................................

2.

เรื่อง เข้าเวรกะดึก

ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนนะคะว่า แม่ของมีนเป็นคนมีสัมผัสที่ 6 จึงค่อนข้างที่จะรับรู้เรื่องลึกลับได้บ่อยๆ แต่ว่าแม่ก็ไม่ค่อยจะกลัวเรื่องพวกนี้สักเท่าไร หรือว่าจะเจอจนชินแล้วก็ไม่ทราบนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า.. ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว สมัยนั้นแม่ของมีน ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ใจกลางเมือง จังหวัดนครสวรรค์ค่ะ แม่มีนทำงานที่นี่ ตั้งแต่สมัยสาวๆ ที่เพิ่งเรียนจบชั้น ปวส.ใหม่ๆ ทำตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงิน ซึ่งก็ต้องมีการขึ้นเวร ลงเวรอยู่เป็นประจำ.. แม่มีนในตอนนั้น ฐานะค่อนข้างลำบาก ต้องทำงานหนักเพื่อแบกรับหน้าที่ ที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าเทอม ทำให้แม่ต้องทำโอที และรับจ้างขึ้นเวรแทน วันหยุดเทศกาลต่างๆ ก็ไม่เคยหยุด เพื่อจะได้เงินเพิ่ม ไว้ใช้จ่ายในครอบครัว ทำให้ในทุกๆ วันของแม่ แทบจะอยู่โรงพยาบาลเกือบ 24 ชม.

ครั้งหนึ่ง แม่ต้องเข้าเวรอยู่คนเดียว ซึ่งห้องทำงานของแม่ จะอยู่ติดกับห้องจ่ายยา ซึ่งจะมีกระจกที่สามารถเปิดปิดหากันได้.. เวลาตอนนั้นประมาณตี 3 คนไข้ที่มาใช้บริการไม่มีเลย และด้วยความที่แม่อดนอนมาหลายคืน ทำให้เริ่มง่วง จึงบอกกับเพื่อนที่อยู่ห้องยาว่า ถ้ามีคนไข้ก็ช่วยปลุกทีนะ ของีบหน่อย รู้สึกไม่ค่อยสบายเพื่อนแม่ก็ตบปากรับคำ.. แม่เลยไปเอาเก้าอี้ ที่สามารถกางเป็นเตียงได้ออกมานอน

นอนไปได้สักพัก แม่เริ่มรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก พร้อมกับได้ยินเสียงหัวเราะ หึๆๆๆ..อยู่ข้างๆ หู แต่ไม่สามารถขยับตัวได้เลย ตอนนั้น แม่รู้ทันทีเลยว่ากำลังเจอกับอะไร ก็ได้แต่สวดมนต์ และกรวดน้ำในใจ.. สักพักพอเริ่มขยับตัวได้ แม่ก็ลุกขึ้นมานั่ง มองไปรอบๆ เหงื่อไหลท่วมตัว.. เพื่อนแม่ที่นั่งอยู่ในห้องยา เห็นแม่ลุกขึ้นมาก็ถามว่า อ้าว? ไม่นอนแล้วเหรอ ตี 3 ครึ่งเอง..แม่ก็บอกว่า แอร์มันร้อนน่ะ จะลุกมาปรับแอร์สักหน่อย จากนั้นแม่ก็ล้มตัวนอนต่อ.. พอหลับไปได้สักพักใหญ่ๆ อาการเดิมเริ่มกลับมาอีกครั้ง เหมือนหวิวๆ คล้ายเวลานั่งรถลงเนินเร็วๆ แต่คราวนี้ รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาเขี่ยๆ ที่ปลายเท้าด้วย แม่เลยลืมตาขึ้นมา และก็ต้องตกใจสุดขีด ภาพที่เห็นที่ระหว่างปลายเท้าแม่คือ หัวคนที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากขอบเตียงนอน และค่อยๆ ลอยขึ้นๆ เป็นหญิงวัยกลางคน ใส่ชุดคนไข้ ใบหน้าของเธอนั้นขาวซีด ดวงตาแดงก่ำปูดโปนออกมา จ้องมาทางแม่ ร่างเธอค่อยๆ ลอยขึ้นไปทางแอร์บนเพดาน และก็เริ่มหายเข้าไปในช่องแอร์ โดยสภาพลำตัว หายไปในช่องแอร์ครึ่งหนึ่ง และห้อยโตงเตงอยู่ข้างล่างอีกครึ่งหนึ่ง พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะ ที่ดังก้องอยู่ในหูของแม่

หลังจากช็อคกับสิ่งที่เห็น แม่มีนตั้งได้สติได้ ก็พยายามร้องเรียกเพื่อน ที่อยู่ห้องข้างๆ แต่กลับไม่มีเสียงพูดออกมา แม่พยายามดิ้นให้หลุด แต่ก็ไม่เป็นผล.. ในตอนนั้นแม่เริ่มรู้สึกโมโห ก็เลยพูด (ในใจ) ออกไปว่า ทางใครก็ทางมันอย่ามายุ่ง มารบกวนกันเลย อยากได้อะไรก็บอกกันดีๆ จะทำบุญไปให้ ถ้ายังไม่หยุดจะแช่ง! ให้ไม่ได้ไปผุดไปเกิด..สิ้นคำของแม่ ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แม่ขยับตัวได้ ก็ลุกขึ้นมาจากเตียงโดยเร็ว เพื่อนแม่หันมาเห็น และก็ถามว่า อ้าว? ไม่นอนแล้วเหรอ ตี 3 ครึ่งเอง..แม่ได้ยินก็แบบนั้นก็แปลกใจ เพราะมันเหมือนกับ ที่เคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง.. ทีนี้ แม่ไม่กล้านอนเลย เพราะกลัวว่า นอนแล้วจะย้อนไปเจอแบบเดิมอีก! แม่จึงไม่ได้ตอบอะไร พับเตียงนอนเก็บเข้าที่เดิม และนั่งทำงานต่อจนถึงเช้าเลย..

หลังจากแม่เล่าจบ แม่ก็บอกอีกว่า ดวงวิญญาณเร่ร่อนพวกนี้ ถ้าได้เจอ หากเราสวดมนต์ก็แล้ว กรวดน้ำไปให้ก็แล้ว ยังไม่หยุด ให้แช่งออกไปแทนเลย เพราะวิญญาณพวกนี้ จะกลัวคำสาปแช่งของคน.. ซึ่งตัวมีนเอง ก็ไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่จริงนะคะ แต่ก็ไม่ขอเจอเลยดีที่สุด

Story by คุณมีน

ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
 ...................................................................
................................................................................

3.

เรื่อง  ยายไอ้แผน - คุณลภ

                เหตุการณ์เกิดที่นครสวรรค์ ตอนเด็กๆ ลภเป็นเพื่อนกับแผนกับโพธิ์ พ่อแม่ของแผนกับโพธิ์จะไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะต้องไปเฝ้าไร่  วันหนึ่ง ทั้ง 3 คน ไปใส่เบ็ด แล้วแผนโดนหอยบาดลึกมาก จึงช่วยกันพยุงกันกลับบ้าน สักพักโพธิ์ก็ออกไปซื้อยา คุณยายของแผนเป็นคนแก่ๆ ที่เหมือนเป็นอัมพฤกษ์เดินไม่ได้ ก็ลุกพรุบขึ้นมา แล้วถามว่า พวกไปไหนกันมา ลภก็ตกใจแล้วบอกว่าแผนโดนหอยบาดเลือดไหลเต็มเลย พอพูดเท่านั้นยายของแผนก็ผลักคุณลภเต็มแรง แล้วไล่ให้คุณลบไป ออกไป บอกว่าอยู่แล้วร้อน ลภก็งง แล้วบอกว่ารอให้โพธิ์กลับมาก่อนห้ามเลือดให้แผนก่อน ยายก็ไม่ยอมก็ไล่อยู่อยากนั้น สักพักโพธิ์กลับมา ยายก็รีบล้มตัวลงนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลภจึงบอกโพธิ์ว่ากลับก่อน ยายไล่ โพธิ์จึงบอกว่ายายลุกและพูดไม่ได้สองปีแล้ว ไม่เชื่อที่ลภพูด แต่ก็ยอมให้ลภกลับ สองวันต่อมา โพธิ์ไปตามลภไปนอนด้วยจะได้ช่วยดูแลแผน ลภก็บอกว่ากลัวยายด่า แต่โพธิ์ก็ยืนยันว่ายายพูดไม่ได้แล้ว ลภก็ยอมไป ลภโพธิ์แผนก็นอนมุ้งเดียวกัน ดึกๆลภนอนไม่หลับ ก็ได้ยินเสียงกุกๆกักๆ ที่มุ้งยาย เห็นยายคลานออกมามองซ้ายมองขวาไปนั่งอยู่ตรงหัวกระไดบ้างแล้วกระโดดพลุบลงไป ลภจึงปลุกโพธิ์ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่นๆ ลภจึงเดินออกไปดูไม่เจออะไร พอหันกลับไปดูที่เจอมุ้งยาย เจอยายยังนอนขดอยู่ในมุ้ง แล้วจู่ๆ ยายก็เปิดผ้าห่มออกมาแล้วยิ้มให้ลภ อันนี้คือคืนแรกที่ลภไปนอนบ้านแผนและโพธิ์  เช้ามาลภก็เล่าให้โพธิ์ฟังว่าเห็นยายกระโดดลงไป โพธิ์ก็ไม่เชื่อ คืนที่สองยายก็คลานออกจากมุ้ง แต่ไม่ได้คลานไปหัวกระได แต่คลานมาเปิดมุ้งที่ลภนอนอยู่ ไปตรงที่แผนนอน โดยโผล่เข้ามาแต่หัว แล้วเลียแผล ดูดแผลแผน พักใหญ่ๆ ลภพยายามปลุกโพธิ์แต่โพธิ์ก็ไม่ตื่น ยายก็เลียอยู่พักใหญ่และคลานกลับไป แล้วพูดว่าอร่อยดีนะ ตอนเช้าลภก็เล่าให้โพธิ์ฟัง ก็ไม่เชื่อและเริ่มโมโหลภว่าใส่ร้ายยาย แต่ปรากฏว่าแผลของแผนเป็นจ้ำ ช้ำใหญ่ และปวดมาก จนคืนที่สามนอนแผนก็นอนร้องปวดมาก ลภบอกโพธิ์ไปตามพ่อกับแม่ แต่โพธิ์ไม่กล้าทิ้งยาย สรุปก็ไม่ได้ไป จนวันต่อมาลภเห็นท่าไม่ดี ลภเลยตัดสินใจ บอกให้โพธิ์ไปตามพ่อแม่ จะป้อนข้าวยายเอง เพราะแผนนอนร้องโอดโอย โพธิ์จึงยอมไปตามพ่อกับแม่  พอโพธิ์ไปลภก็หนีกลับบ้านเพื่อไปตามพ่อ แต่พ่อลภก็ไม่อยู่ ลภก็เลยตัดสินใจกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแผน นอนจนสามทุ่ม โพธิ์ก็ยังไม่กลับ สักพักลภได้เสียงแผนร้องอ๊อกๆๆ ลภมองเห็นยายของแผนยืนเหยียบหน้าอกแผนแล้วช้อนคอขึ้น และปากจุ่มลงไปในปากแผน แล้วเอาลิ้นแลบออกไป แผนก็เกร็งๆ แล้วก็นิ่งไปเลย ลภก็ได้แต่มองดูอยู่อย่างนั้นเพราะทำอะไรไม่ถูก พอดีที่พ่อแม่ของแผนกลับมายายก็รีบกระโดดออกมาแล้วรีบกลับเข้ามุ้ง ปรากฏว่า แผนตายแล้ว เอาศพไปพิสูจน์ หมอบอกว่าขาดอากาศหายใจ พ่อกับแม่พยายามเค้นลภให้บอกว่าเกิดอะไรขึ้น ลภก็บอกว่าเห็นยายเหยียบหน้าอกแผนแล้วเอาลิ้นล้วงลงไปในปาก แต่ไม่มีใครเชื่อลภ หลังจากนั้นผ่านไป 7-8 วัน พ่อของแผนก็จับพิรุจน์คือไม่นอนแล้วก็เห็นแบบที่ลภพูดคือเห็นยายโดดจากบ้านทุกคืน จนไปปรึกษากับพระ พระก็บอกว่ายายตายมานานแล้วแต่มีอย่างอื่นแฝงอยู่ ....... เรื่องนี้หลอนจริงๆ  

ขอบคุณที่มา https://pantip.com/topic/35092208/story

..........................................................................

...........................................................................
 




 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องผีที่สมุทรปราการ

เรื่องผีที่ร้อยเอ็ด

เรื่องผีที่ลำปาง