เรื่องผีที่กาญจนบุรี


1.

เรื่อง ห้องที่ปิดไปแล้ว

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ส่งเข้ามาจากคุณตี๋ (นามสมมติ) เจ้าของเรื่องที่แล้วครับ คุณตี๋เล่าว่า.. พอดีผมได้ไปเจอรูปเก่าใบหนึ่งแล้วนึกถึงครับ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2549 สมัยผมยังเรียน ปวช. อยู่ ผมอยู่ชมรมลูกเสือครับ เป็นชมรมที่มีกิจกรรมเยอะ วันนั้นเป็นวันที่จะต้องเดินทางไปทำกิจกรรมที่ต่างจังหวัด ทุกๆ ปีรถจะออกเช้า แต่ปีนั้นรถออกเย็น โดยจะมีรถบัส กับรถส่วนตัวของรุ่นพี่ที่จบไปแล้วขับตามไปด้วย ผมได้ไปรถของรุ่นพี่ นั่งกันไปกับเพื่อนๆ รวมรุ่นพี่ที่ขับเป็น 8 คน จุดมุ่งหมายคือจังหวัดกาญจนบุรีครับ

ระหว่างทาง รถคันพวกผมก็คิดกันว่าถึงมืดหน่อยก็ได้ เพราะกิจกรรมเริ่มเช้า เลยพากันแวะปั๊ม แวะนั่นนี่ตามทางกันไปเรื่อย มีหลงทางบ้าง ซึ่งรถบัสไปนั้นไปถึงโรงแรมที่หมายก่อนแล้ว คณะกิจกรรมครั้งนี้มีทั้งหมด 48 คน โดยได้จองโรงแรมห้องใหญ่ 6 ห้อง ผมไม่ขอเอ่ยชื่อโรงแรมนะครับ ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันจะปิดไปแล้วหรือยัง.. เวลาประมาณ 3 ทุ่ม โทรศัพท์ของรุ่นพี่ก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงในสายดังออกมา ถามว่า ถึงไหนกันแล้ว..ตอนนี้ทุกคนถึงโรงแรมแล้วนะรุ่นพี่ผมก็ตอบกลับไปว่า พักผ่อนกันก่อนเลย พอดีติดฝน และก็ขับหลงทางนิดหน่อย กำลังหาทางไป..จนสุดท้ายพวกผมก็ไปถึงโรงแรมจนได้ครับ เวลาตอนนั้นก็เกือบ 5 ทุ่มแล้ว สภาพโรงแรมนี่คือเก่ามาก มี 5 ชั้น ค่อนข้างกว้าง พวกผมเดินไปที่ล็อบบี้เพื่อแจ้งว่ามากับคณะกิจกรรม พอเสร็จเขาก็นำทางไปที่ห้องพักครับ.. ห้องพวกผมอยู่ชั้น 5 ด้านในสุดติดกับบันได เข้าไปสภาพห้องข้างในดูสะอาดสะอ้านดี มีกลิ่นหอม เตียงปูตึงเป๊ะ มี 3 เตียง คือ 2 เตียงใหญ่กับ 1 เตียงเล็ก พวกผมก็ทยอยเข้าไปอาบน้ำกัน ส่วนรุ่นพี่คงเพลียเลยหลับไปก่อนที่เตียงเล็ก พอเสร็จก็นอนปิดไฟตามปกติ เอาเตียงใหญ่มาชิดกัน นอนเรียงกัน 7 คน

คืนนั้น อยู่ๆ เพื่อนผมคนที่นอนริมซ้ายสุดก็ร้องโวยวายขึ้นมา พวกผมก็ตื่น ถามว่า มีอะไร?’ เพื่อนคนนั้นมันบอกว่า อยู่ดีๆ เตียงก็ยุบ..รุ่นพี่ด้วยความเพลียเลยสั่งว่า นอนๆๆ อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก..พอนอนไปได้อีกสักพัก เพื่อนคนเดิมก็ร้องอีกครับ บอกว่า เตียงมันยุบจริงๆ นะ!ทำเอาทุกคนตื่น รุ่นพี่ก็บอกว่า คิดไปเองหรือเปล่า?’ เพื่อนผมคนนั้นมันเลยขอเปิดไฟนอน รุ่นพี่ก็เริ่มรำคาญเลยบอก เออ..เปิดก็เปิดแต่แล้ว แสงไฟมันแยงตาเลยนอนกันไม่หลับ และในตอนนั้นเอง เตียงตรงปลายที่นอนของเพื่อนคนเดิม มันก็ยุบลงไปเหมือนมีคนนั่งครับ! คือจังหวะนั้นเห็นกันหมดทั้ง 8 คน  ยุบลงเห็นๆ ต่อหน้าเลย เอาละสิ.. ทีนี้ก็นอนกันไม่หลับกันแล้ว ขณะที่บรรยากาศในห้องเริ่มเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร รุ่นพี่ก็ถามขึ้นมาว่า พวกมึงว่าบนเพดานนั่นมันคราบอะไรวะ?’ พอจบคำถาม สายตาของทุกคนก็มองไปที่ฝ้าเพดาน และพบว่ามีคราบดำๆ เป็นดวงอยู่จริง พวกผมจ้องมองด้วยว่าสายตาที่โฟกัสเจ้าคราบนั้นอยู่ แล้วอยู่ดีๆ มันก็มีหน้าคนใหญ่ๆ พุ่งออกมาจนเกือบจะชนหน้ากัน ก่อนจะหายวับไป ภาพนั้นติดตามาก เป็นผู้ชายผมสั้น หน้าอืดบวม ตาโปนล้นเบ้า มีแต่หน้าใหญ่ๆ คือทุกคนเห็นเหมือนกันหมดครับ เท่านั้นล่ะ พร้อมใจกันวิ่งออกจากห้องไปที่หน้าล็อบบี้ทันทีเลย พอไปถึงปรากฏว่าที่ล็อบบี้ไม่มีใครอยู่เลยครับ ทั้งแขก ทั้งพนักงาน ตอนนั้นรุ่นพี่พูดมาคำเดียวว่า ใครจะกลับขึ้นไปนอนที่ห้องก็ไปนะ แต่กูจะรอตรงนี่ยันเช้า..สรุปก็ไม่มีใครกล้ากลับไปครับ แหงนดูนาฬิกาก็ตี 3 กว่าแล้ว อีกเดี๋ยวก็เช้า เลยนอนรอกันตรงนั้น

 

พอรุ่งเช้า พวกผมก็ได้ไปสอบถามกับพนักงานของโรงแรม ซึ่งก็ได้คำตอบที่แทบล้มทั้งยืน คือพนักงานเขาก็ถามพวกผมว่า ไปนอนห้องนั้นได้ยังไง ห้องนั้นปิดไปนานแล้วและถามอีกว่า มาถึงกันกี่โมง?’ พวกผมก็ตอบไปว่า 5 ทุ่มเห็นจะได้..พนักงานก็ทำหน้างง และบอกว่า 3 ทุ่มครึ่ง ที่นี่ก็จะไม่รับเช็คอิน พนักงานก็จะไม่อยู่แล้ว..พวกผมต่างก็มองหน้ากันคิดว่า แล้วผู้ชายคนที่พาพวกผมไปเปิดห้องนั้นคืออะไรล่ะ..? จนพวกผมได้ไปถามข้อมูลจากแม่บ้านทำความสะอาดคนหนึ่ง ว่าทำไมห้องนั้นถึงปิด แม่บ้านบอกว่า ห้องนั้นน่ะเคยมีผู้ชายพาผู้หญิงบริการ 2 คนมานอน แล้วผู้ชายเกิดจับได้ว่าผู้หญิง 2 คนนั้นเป็นมิจฉาชีพ ผู้หญิงทั้ง 2 เลยร่วมมือกันฆ่าผู้ชายปิดปากชิงทรัพย์ แล้วซ่อนศพเอาไว้ที่ฝ้าเพดาน ซึ่งรอยเลือดล้างยังไงก็ไม่ออก ทาสีทับยังไงก็ไม่ติด จนสุดท้ายเลยต้องปิดห้องนั้นเอาไว้..พวกผมฟังแค่นั้น พอไปบอกทุกคนในคณะเท่านั้นล่ะ กิจกรรมล้ม ตีรถกลับกรุงเทพฯ ทันทีเลยครับ.. พอมานึกๆ ดูแล้ว ชายคนที่พาพวกผมไปที่ห้องนั้น อาจจะเป็น ตนเดียวกันกับใบหน้าที่พุ่งมาให้พวกผมเห็นก็เป็นได้ นึกแล้วก็ยังขนลุกไม่หาย..

 

Story by คุณตี๋ (นามสมมติ)

ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
................................................
................................................

2.


เรื่อง ฝึกงานที่วัดป่า


ช่วงซัมเมอร์สมัยผมเรียนปี 2 วิชาช่างสำรวจ (Survey) ทางมหาวิทยาลัยได้บังคับให้ทุกคนต้องฝึกงานนอกสถานที่ถึงจะจบหลักสูตร ทางคณะจึงจัดให้พวกเราไปฝึกงานที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งทางหลวงพ่อของวัดป่าแห่งนี้ มีความต้องการจะสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ในวัด และหมู่บ้านใกล้เคียง.. พอถึงวันเดินทาง ก่อนออกเดินทางอาจารย์ได้แบ่งพวกเราเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 7-8 คน มีช่างเทคนิคประจำกลุ่ม 1 คน แล้วพอไปถึงจะมีลูกหาบที่เป็นคนพื้นที่ หรือชาวพม่า ชาวกระเหรี่ยง คอยช่วยแบกอุปกรณ์อีกกลุ่มละ 1 คน อาจารย์ได้กำหนดเป้าหมาย ขอบเขต แบ่งส่วนการทำงานกันอย่างชัดเจน ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากกับการได้ออกภาคสนามจริงๆ ครั้งแรก


เมื่อเดินทางมาถึงวัดป่า อาจารย์ได้จัดแจงแบ่งที่นอนให้พวกเรา คือผู้หญิงกับอาจารย์จะนอนกันบนศาลาวัด ซึ่งมีห้องน้ำในตัว มีพัดลม สะดวกสบาย ส่วนพวกผู้ชายจะกางเต๊นท์นอนกันตรงพื้นที่โล่งแจ้งหลังวัด ใกล้ๆ กับที่เก็บกระดูกคนตาย ..เจริญพรจริงๆ ล่ะครับ หลังจากจัดแจงเรื่องที่พักเสร็จสรรพ หลวงพ่อก็ได้เรียกพวกเราไปให้ศีลให้พร พร้อมทั้งกล่าวว่า ก่อนนอน ขอให้สวดมนต์ แผ่เมตตาด้วย เผื่อสัตว์ร้ายต่างๆ จะได้ไม่มาทำอันตราย..


เริ่มงานวันแรก ทุกคนสดชื่นแจ่มใสคึกคักกันมาก ออกเดินทางขึ้นเขาไปสำรวจกันตั้งแต่เช้า เดินกันไปเล่นกันไปคุยกันสนุกสนาน ทำงานอย่างตั้งใจ.. แต่แล้วตอนขากลับ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นครับ เพื่อนผมคนหนึ่ง เดินอยู่ดีๆ ก็พลัดตกเขาลงไปซะอย่างนั้น ดีที่ตัวไปติดกับต้นไม้ ไม่หล่นไปถึงข้างล่าง ทุกคนต้องช่วยกันดึงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เนื้อตัวถลอกปอกเปิก เลือดอาบเลยทีเดียว.. พอมาถึงที่พักทำแผลเสร็จ เพื่อนๆ ถามว่า ตกลงไปได้ยังไง? เดินตามกันมาอยู่ดีๆ..เพื่อนคนนั้นบอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ก็เดินๆ อยู่ แล้วเหมือนมีใครผลักจนกระเด็นกลิ้งลงไปเฉย..ทุกคนก็งงกันไป แล้วในวันนั้นเอง เพื่อนๆ จากกลุ่มอื่นที่กลับกันมา ก็บอกว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆ เหมือนกันทั้งนั้น บางคนโดนผึ้งต่อย บางกลุ่มหลงป่าจนไม่ได้งานกันเลยก็มี อาจารย์ได้สรุปเอาว่า อาจเป็นเพราะแปลกที่ ไม่คุ้นเคย เลยเกิดอุบัติเหตุ ต่อไปให้ใช้ความระมัดระวังให้มากๆ ใครจะไปไหนทำอะไร ต้องมีเพื่อนไปด้วยเสมอ..เหตุการณ์ก็เหมือนจะสงบขึ้น..

วันต่อมา พวกเราก็ออกทำงานกันตามปกติ เก็บข้อมูลวัดระดับตามจุดต่างๆ พอตกกลางคืนก็กลับมาเขียนแผนที่ ผมลืมบอกไปว่า ที่วัดป่านี้พอถึงเวลา 2 ทุ่ม ไฟจะถูกปิดทั้งหมด เพราะไฟฟ้าเข้าไม่ถึง มีเพียงเครื่องปั่นไฟซึ่งไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น.. พวกเราต้องจุดเทียนพรรษากันเพื่อเขียนแผนที่ ดูลำบากลำบนพิกล.. ในคืนนั้นเอง หลังจากที่เขียนแผนที่เสร็จ ก็ราวๆ เที่ยงคืนได้ ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปนอน แล้วทีนี้ มันมีพวกเพื่อนๆ ที่เป็นขาเฮ้ว ชอบลองดี ได้นัดแนะเพื่อนๆ อีก 4-5 คนไปเล่นผีถ้วยแก้วกันหลังเต๊นท์สุดท้าย ที่อยู่ใกล้กับที่เก็บกระดูก ไอ้ผมก็อยากรู้อยากเห็น เลยตามไปดูด้วย เพื่อนหัวโจกมันก็เริ่มเล่าประวัติเลย มันบอกว่า รู้หรือเปล่า? ห่างจากวัดป่านี้ไปไม่กี่โล มันเป็นที่ฝังศพของ เชอรี่ แอน’ (ช่วงนั้นเป็นข่าวดังมาก เรื่องคดีฆาตกรรม เชอรี่ แอน ดันแคน ใครอยากทราบประวัติลองไปค้นดูเอานะครับ) แล้วทีนี้เพื่อนหัวโจกคนนั้นก็เริ่มเลย ทำพิธีเชิญวิญญาณ เชอรี่ แอน มาลงถ้วย ส่วนผมนั่งดูอยู่ห่างๆ มันถามคำถามต่างๆ นานาไปเรื่อย ถ้วยแก้วก็วิ่งไปเรื่อย ผมคิดในใจว่า พวกมันนั่นแหละที่ดันถ้วย เพราะผมเองไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ผมนั่งดูไปจนเริ่มง่วง เลยลุกเดินกลับเต๊นท์ไปนอนก่อน พอกำลังเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวก โวยวายกันลั่น เลยรีบออกจากเต้นท์มาดู ที่เกิดเหตุคือบริเวณที่เล่นผีถ้วยแก้วกันนั่นล่ะ ผมเห็นเพื่อนคนหนึ่งนอนตัวบิดอยู่กับพื้น ดิ้นไปดิ้นมา พูดจาไม่รู้เรื่อง พวกที่เล่นด้วยกันก็พยายามช่วยจับแขนขา พอดีว่าอาจารย์ตามมาสมทบพอดี แกบอกให้เอาผ้าขนหนูยัดปาก สงสัยจะเป็นลมบ้าหมู ทุกคนก็ช่วยกัน และรีบหามเพื่อนคนนั้นขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาลทันที พอสอบถามเพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันก็บอกว่า อยู่ดีๆ มันก็ลงไปดิ้นๆ เอง ไม่รู้เป็นอะไร.. พอเรื่องที่เล่นผีถ้วยแก้วรู้ไปถึงหูอาจารย์ ก็โดนตำหนิกันยกใหญ่เลยครับ

หลังจากคืนนั้น ทางคณะเราก็เหมือนโดนคำสาป งานทุกอย่างหยุดชงักหมด ฝนหลงฤดูกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ออกไปสำรวจไม่ได้ ต้องติดแหงกอยู่ที่วัดป่า.. พอฟ้าเปิดออกไปทำงาน เครื่องมือก็ดันพังพร้อมๆ กันอีก กล้องอินฟาเรด 3 ตัวใช้งานไม่ได้ ต้องใช้กล้องธรรมดามาส่อง ซึ่งมันเสียเวลามาก และความคลาดเคลื่อนก็สูง อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นรายวัน บางคนเริ่มป่วยแบบไม่มีสาเหตุ งานการเสียหมด เหลือเวลาอีกไม่นานจะครบกำหนดแล้ว แต่งานยังไม่คืบหน้าเลย.. ทุกคนต้องทำงานกันหนักขึ้น ออกสนามเช้าขึ้น กลับช้ากว่าเดิม อาจารย์ และช่างเทคนิค ยังต้องลงมาช่วยทำงานด้วยเลยครับ จากวันที่มาจนถึงตอนนี้ แต่ละกลุ่มเหลือคนทำงานน้อยลงๆ เพราะส่วนใหญ่ไปนอนโรงพยาบาลในเมืองกันหมด ด้วยอาการป่วยแปลกๆ อย่างที่ผมเล่าไป

แต่แล้ว เหมือนโชคจะเข้าข้างพวกเราบ้าง หลวงพ่อมาบอกพวกเราว่า ทางจังหวัดจะลงมาทำเรื่องนี้เอง เพราะได้งบมาแล้ว ให้พวกเราพอแค่นี้ ขอแผนที่ และข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจมา ส่งให้ทางจังหวัดไปทำต่อ ส่วนเวลาที่เหลือก็ขอให้พักผ่อนกันไป พวกเราทั้งหมดแทบจะร้องไชโยด้วยความดีใจ.. เย็นวันนั้น อาจารย์ก็สั่งแม่ครัวให้ทำอาหารเลี้ยงกันทั้งแคมป์ พวกเรากินกันอย่างสนุกสนาน ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปเสียสนิท จนเลยเวลามาถึง 4 ทุ่ม ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน.. แต่แล้วฝนเจ้ากรรมมาจากไหนไม่รู้ สาดกระหน่ำใส่เต๊นท์พวกเราจนปลิว น้ำจากเขาก็เทลงมาจนดินเปียกชุ่ม นอนกันไม่ได้ หลวงพ่อเลยให้ไปนอนรวมกันบนศาลา แต่ด้วยศาลาวัดป่ามันก็ไม่ได้ใหญ่มาก บางส่วนจึงต้องกระจายไปนอนตามกุฎิพระบ้าง หรือโรงทานบ้าง มีผมกับรุ่นพี่ และเพื่อนอีก 2-3 คน ต้องระเห็ดไปนอนในถ้ำ ที่ใช้เก็บพวกเทียนพรรษา ของใช้พระสงฆ์ พระพุทธรูป พวกเราจัดแจงเอาเก้าอี้นั่งพลาสติก 2 ตัวมาต่อกันนอนตามมีตามเกิด ข้างนอกฝนก็กระหน่ำไม่หยุด ทำให้อากาศในถ้ำหนาวเย็นยะเยือก ผมต้องนอนกอดอก ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำเลยครับ จนผมเผลอหลับไปเมื่อไรก็ไม่ทราบได้

แต่แล้ว ผมก็ถูกปลุกด้วยเสียงเหมือนคนหัวเราะดังก้องถ้ำไปหมด ผมค่อยๆ ลืมตามอง แสงไฟจากเทียนพรรษาที่จุดหลายเล่ม ทำให้มองเห็นอะไรในถ้ำได้ชัดเจน ผมมองไปที่ผนังถ้ำเหนือหัวพวกเรา แต่กลับรู้สึกเหมือนมันเป็นหน้าคน คล้ายรูปสลักหินแต่ไม่ใช่ มันค่อยๆ ยื่นออกมาจากผนังด้านบน ยืดลงมาจนใกล้หน้าผม แล้วก็หัวเราะใส่หน้าผมอย่างดัง! ผมตกใจมาก รวบรวมพลังทั้งหมดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้พลาสติก มานั่งหายใจหอบ ใจเต้นรัว พอตั้งสติได้มองไปทางซ้ายและขวา ก็เห็นรุ่นพี่ และเพื่อนๆ ลุกขึ้นมานั่งเหมือนกันหมด ต่างคนต่างมองหน้ากัน แล้วรุ่นพี่ก็ถามขึ้นมาว่า เห็นเหมือนกันไหม?’ เท่านั้นล่ะครับ เป็นอันรู้กัน ทุกคนนี่รีบวิ่งออกจากถ้ำโดยไม่ได้นัดหมาย ฝ่าสายฝนไปนั่งเบียดกันที่ศาลา นั่งสัปหงกกันจนถึงเช้าเลยทีเดียว.. พอเช้า ต่างคนก็ต่างเล่าสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อคืนในถ้ำให้ฟังกัน สรุปว่าพวกเราทุกคนเห็นเหมือนกันหมด มันเหมือนจะเป็นความฝันมากกว่า แต่ก็แปลกอยู่ดีที่ทำไมถึงมาฝันเหมือนกันหมดทุกคนได้? เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ เวลารวมรุ่นกันก็มักจะต้องพูดถึงเรื่องนี้เสมอ..

พอเช้าวันสุดท้าย ถึงกำหนดกลับพอดี ทุกคนรวมตัวกันกราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ให้ศีลให้พรตามระเบียบ แต่ก่อนกลับ หลวงพ่อได้บอกความลับกับพวกเราว่า เมื่อก่อนที่จะสร้างวัดป่าแห่งนี้ ที่นี่เคยเป็นสุสานไร้ญาติมาก่อน มีคนเอาศพมาเผา มาฝังในบริเวณนี้มากมาย ตอนอาตมามาบุกเบิกใหม่ๆ บางครั้งยังเคยเห็นหมาคาบกระดูกคนมาแทะเล่นเลย วันดีคืนดีก็เห็นคนหัวขาดเดินไปเดินมา แต่อาตมาไม่กลัวหรอก แผ่เมตตาให้เขาไป..พวกเราได้ฟังอย่างนั้นต่างก็ขนลุกเกลียว และร้องขึ้นมาพร้อมกัน อ้าววว! หลวงพ่อทำไมไม่บอกแต่แรก?’ หลวงพ่อท่านก็บอกแค่ว่า ไม่อยากบอก เดี๋ยวไม่เป็นอันทำงานกัน เราอยู่ส่วนของเรา..เขาอยู่ส่วนของเขา ไม่เกี่ยวกันแล้วท่านก็หัวเราะออกมา

หลังจากกราบลาหลวงพ่อเรียบร้อย ก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของเครื่องมือขึ้นรถบัสของคณะที่วนมารับตามเวลา แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ยังเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากทุกคนขึ้นรถนั่งประจำที่กันแล้ว กำลังรอคนขับรถมาขับ จู่ๆ รถบัสที่จอดใส่เบรคมือไว้เกิดไหลครับ ซึ่งที่จอดมันเป็นทางลาดลงเขาซะด้วย ทีนี้ล่ะ ถึงเวลาสละยานสิครับ ทุกคนต่างกระโดดลงรถหนีตายกันอุดตลุด เคราะห์ดีที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งแกมีสติ วิ่งไปที่นั่งคนขับ เหยียบเบรคและใส่เกียร์ไว้ได้ทัน รถจึงหยุดได้ ..งานนี้เล่นเอาใจหายใจคว่ำ กว่าจะกลับมากันได้ แทบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่วัดป่าผีสิงซะแล้ว.. เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดจากความบังเอิญ ความประมาท หรือสิ่งลี้ลับกันแน่ ก็สุดจะคาดเดาได้ แต่ถ้าจะให้ผมกลับไปที่วัดป่าแห่งนั้นอีก ผมคงไม่เอาอีกแล้วล่ะครับ..

Story by คุณเลิฟ

ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/


 ..............................................................
..........................................................................



3.

เรื่อง นักประดาน้ำภาค 7

เหตุเกิดที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อคืนวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านนี้มา.. คืนนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืน มีเหตุคนสูญหายใต้น้ำ เป็นนักท่องเที่ยวชาวพม่าผู้ชายชาย 1 ราย มากัน 5 คน และได้เช่าแพท่องเที่ยว ลากออกไปล่องห่างจากฝั่งประมาณ 3 กิโลเมตร และได้ผูกแพไว้เพื่อพักผ่อน 1 คืน ซึ่งตรงจุดที่กลุ่มนักท่องเที่ยวไปผูกแพพักกันนั้น ห่างไปเพียงเล็กน้อยก็จะถึง ถ้ำลั่นทมเป็นถ้ำที่อยู่ใต้น้ำมีขนาดใหญ่ และลึกมาก ตัวผมเคยลงไปสำรวจแล้ว แต่ยังไม่เคยเข้าไปได้ถึงก้นถ้ำ..


เพื่อนนักท่องเที่ยวเล่าว่า หลังจากผูกแพเสร็จ ก็ได้ทานอาหารเย็นร่วมกัน ทั้งดื่มสุราด้วย ดื่มกินกันไปได้พักใหญ่ ก็เกิดอาการมึนเมา จึงชวนกันไปเล่นน้ำ ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว จังหวะที่เล่นน้ำซึ่งต้องโดดลงจากแพ ปรากฏว่ามี 1 ใน 3 คนที่โดดได้จมหายไปใต้น้ำโดยไม่ขึ้นมาอีกเลย.. ที่เหลือจึงแจ้งไปที่เจ้าของแพบนฝั่งให้นำเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ เจ้าของแพจึงแจ้งมาทางมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ให้มาช่วยค้นหา.. คืนนั้นทางมูลนิธิดำค้นหากันจนถึง 7 โมงเช้าก็ยังไม่พบศพ จึงขอกำลังมาทางชมรมกู้ภัยทางน้ำภาค 7 ที่ผมประจำอยู่

ผมจึงนำกำลังพร้อมทั้งประสานกับทางมูลนิธิสว่างราชบุรี ให้มาร่วมค้นหา ต้องเดินทางจากที่ตั้งไปที่เกิดเหตุระยะทาง 150 กิโลเมตร ไปถึงท่าลงเรือ 11 โมง นั่งเรือออกไปอีก 20 นาที ถึงที่เกิดเหตุก็วางแผนร่วมกัน วางจุดที่จะค้นหา ซึ่งตกลงกันว่าผมจะดำลงไปสำรวจก่อนว่าสภาพใต้น้ำเป็นอย่างไร แล้วจะลองค้นหาดูคนเดียวก่อน โดยทิ้งทุ่นลงไปจากจุดที่จม ความลึกอยู่ที่ 30 เมตร.. ระหว่างที่ผมไต่ระดับความลึกลงไปเรื่อยๆ รู้สึกได้เลยว่า ตรงนี้เจ้าที่แรงมาก แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมหวั่นไหว ผมไต่ระดับลงไปอีก พร้อมกับใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆ สภาพใต้น้ำเป็นหน้าผาหิน ต้นไม้น้อยใหญ่ยังคงมีอยู่มากมาย ความชันอยู่ที่ 70 องศา ผมก็ไต่ลงไปจนถึงที่ความลึก 30 เมตร น้ำเย็นจัด และมืดมาก การมองเห็นต้องใช้ไฟฉายช่วยเท่านั้น ผมก็ค้นหาไปเรื่อยๆ และลงลึกไปอีก จนอยู่ระดับที่ 45 เมตร ทันใดนั้น! ทันทีที่ผมวาดไฟฉายไป สายตาของผมก็มองเห็นร่างผู้เสียชีวิตนอนคว่ำหน้าอยู่กับหิน ห่างจากผมประมาณ 3 เมตร สภาพไม่ได้ใส่เสื้อ ใส่เพียงกางเกงในตัวเดียว ตัวขาวซีด แขนขาเกร็ง ผมจึงว่ายเข้าไปใกล้ แล้วใช้มือคล้องแขนเพื่อที่จะนำศพขึ้นไป
แต่ระหว่างที่จะถึงผิวน้ำอีกเพียง 15 เมตร ตัวผมกับศพก็ไปติดกับกิ่งไม้ใหญ่เป็นพุ่มกว้าง ไม่สามารถขึ้นไปได้ ผมก็แกะอยู่พักหนึ่งก็ยังไม่หลุด จึงตัดสินใจปล่อยมือจากศพ ให้หลุดลงไปยังใต้น้ำอีกครั้ง แต่ระหว่างที่ผมปล่อยมือศพลงไปเบื้องล่าง ผมก็ฉายไฟตามลงไปด้วย แต่ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ผมเห็นเบื้องล่างนั้น ผมแทบไม่เชื่อสายตาครับ! ผมเห็นเป็นชายแก่ผมยาว แหงนหน้ามองขึ้นมาทางผม สีหน้าดูเรียบเฉย ผมคิดในใจว่า เอาละ ก๊าซไนโตรเจน ในถังเล่นผมแล้ว..แต่พอผมฉายไฟลงไปอีกครั้ง ผมก็ยังเห็นชายแก่มองอยู่เหมือนเดิม! ทีนี้ผมเลยไม่มองลงไปแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาแกะกิ่งไม้ออก แล้วรีบขึ้นมาบนผิวน้ำทันที โดยที่ไม่เล่าให้ใครฟัง เพราะกลัวเขาหาว่าเราบ้า อีกอย่างกลัวลูกน้องจะไม่กล้าลงไปด้วยครับ.. แล้วทีนี้ก็ต้องมาวางแผนกันใหม่ โดยให้ทีมดำลงไปเอาเชือกผูกศพแล้วช่วยกันดึงขึ้นมาจนสำเร็จ นำศพส่งโรงพยาบาลท่ากระดานเพื่อชันสูตรต่อไป..
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ทีมงานดำน้ำชุดที่มาเมื่อคืนเล่าให้ฟังว่า เจ้าของแพบอกว่าเจ้าที่ตรงนี้แรงมาก มีถ้ำใต้น้ำชื่อ ถ้ำลั่นทมมีคนมาเสียชีวิตที่นี่หลายรายแล้ว รายนี้เป็นรายที่ 16 ..ที่ตรงนี้เป็นที่อยู่ของ พญานาคราชคนที่รู้ไม่มีใครกล้ามาแถวนี้หรอก แพที่มาจอดตรงนี้ แขกที่มาเที่ยวจะเจออาถรรพ์ทุกราย ซึ่งเมื่อคืนในทีมก็เจอกันมาแล้ว ใครที่นอนหลับก็จะฝันว่ามีเด็กหลายคนมาวิ่งเล่นบนแพ ทำให้ไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทั้งคืน และเขาบอกว่า ถ้าจะให้พบศพ ต้องจุดธูป 16 ดอก ขอขมาก่อน ซึ่งทำแล้วก็พบศพจริงๆ.. แล้วตอนที่พบศพจะเห็นมีน้ำวนอยู่ตรงจุดนั้นตลอดเวลา ซึ่งทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนที่ผมลงไปค้นหาจนพบศพแล้วกำลังนำขึ้น น้ำตรงนั้นวนแรงมาก! ทุกคนที่เห็นพากันตะลึง แต่ตอนที่เห็นก็ไม่มีใครกล้าพูด จนระหว่างเดินทางกลับถึงมาเล่าให้ผมฟัง.. เรื่องที่เจอเป็นเรื่องจริงไม่ได้ปรุงแต่ง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ว่ากันไม่ได้ แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าสิ่งเล้นลับที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้นั้นมีจริงๆ ครับ
Story by คุณเฉลิมพนธ์ นักประดาน้ำภาค 7
 
ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
 ............................................................
.......................................................................

4.

เรื่อง ท่าล้อซอย 9

เป็นอีกเรื่องที่ส่งเข้ามาจากคุณวุ้นเส้นครับ คุณวุ้นเส้นเล่าว่า.. คือเราแต่งงานแล้วย้ายจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีค่ะ ทุกปีเพื่อนๆ เราก็จะมาจากกรุงเทพฯ มาหาเรา มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดอะไรประมาณนี้.. และเมื่อปีที่แล้วนี่เอง เพื่อนๆ เราก็มากัน 3 คน คราวนี้มาพร้อมกับรุ่นน้องที่ทำงานอีก 2 คน ซึ่งนับว่าเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่มเรา.. ทุกครั้งที่เพื่อนๆ เรามาก็มักจะไปกันแต่สะพานข้ามแม่น้ำแคว น้ำตก เขื่อน กินข้าวร้านดัง กลางคืนก็กินเหล้า.. ไอ้เราก็เป็นคนชอบเทคแคร์เพื่อน ไม่อยากให้เบื่อกัน ก็พยายามจะหาที่ที่มันไม่จำเจ พาไปตลาดน้ำเปิดใหม่ พาไปที่เที่ยวใหม่ๆ ก็รู้สึกว่ายังไม่โอเค แต่มีอยู่ที่นึง ที่เราอยากจะไปมานานแล้ว แต่ก็โดนแฟนห้ามไว้เสมอ นั่นก็คือ ท่าล้อซอย 9ใช่ค่ะ ท่าล้อซอย 9 สุสานโสเภณีร้าง..

ด้วยความอยากรู้อยากลองอยากสัมผัสสักครั้ง กับสิ่งที่ยังไม่เคยเห็นเคยเจอ เราถึงกับเปิดกูเกิ้ลสตรีทวิวเข้าไปดู ได้เห็นแต่กำแพงด้านนอก มันก็ยิ่งรู้สึกอยากจะเข้าไป ไม่รู้ว่าเป็นโรคจิตหรือเปล่า.. เราเลยชวนเพื่อนๆ ไปสุสานโสเภณีร้างกัน ซึ่งก็แปลกที่ทุกคนไม่มีใครปฏิเสธเลย ทุกคนดูตื่นเต้นและพูดกันว่า ‘Unseen Thailand! ไม่ไปที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองกาญฯ เว้ย..จนเวลาประมาณ 6 โมงเย็นก็ออกเดินทาง ขับรถไปตามทางเรื่อยๆ เราตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นสักที สิ่งที่แฟนเราห้ามมาตลอด พวกเราไม่ได้ไปลบหลู่กันนะคะ ก็แค่อยากเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นเท่านั้นเอง..

เมื่อรถได้มาจอดที่หน้าประตูสุสานโสเภณีร้าง สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้เลยก็คือ ความว่างเปล่า.. พอทุกคนกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ก็มีป้าแก่วัยประมาณ 60 กว่าเดินเข้ามาหา พวกหนูจะเข้าไปข้างในใช่ไหม?’ ป้าแกถามพร้อมกับเอากุญแจมาไขประตู ป้าพูดต่อว่า ป้าอยู่ที่นี่ ดูแลที่นี่ให้เจ้าของที่เขา มาสิ เดี๋ยวป้าพาเดิน..แล้วพวกเราก็เดินตามป้าเข้าไป บรรยากาศไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ แต่มันกลับรู้สึกเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง ที่เงียบ สงบ และเย็นสบาย.. พวกเราเดินตามป้าแกเข้าไปเงียบๆ จนถึงทางเข้าบริเวณที่เป็น ซ่องด้านใน ตลอดทางได้ยินแค่เสียงเท้าเหยียบใบไม้แห้ง กับเสียงพูดคุยกัน มันก้อง สะท้อน แต่ถ้าเงียบก็เงียบเหลือเกิน.. ที่ด้านใน เมื่อป้าเปิดประตูอีกชั้นเข้าไป เพื่อให้ดูบริเวณเสาต้นใหญ่กลางห้องกระจก เป็นห้องสำหรับให้หญิงบริการนั่งในตู้กระจกประมาณนั้น ซึ่งมีของเซ่นไหว้อยู่บริเวณเสาต้นนั้น ของสดใหม่ทุกวัน เพราะป้าเป็นคนเอาเข้ามาให้พวกเขาเอง.. พวกเขาคงไม่มีใครมาทำให้หรอก ก็ช่วยๆ กันไป..ป้าพูดพร้อมกับกวักมือเรียกพวกเรา มาสิ ป้าจะพาไปดูรอบๆ ละกันนะ จะได้ไม่หลง

ในตอนนั้น รุ่นน้องที่มาด้วยกันชื่อตั้ม ก็เดินเข้าไปอีกทางหนึ่งของกำแพงกั้นห้องกระจก ตั้มเดินไปและพูดไปว่า อะไรนะครับ ทางนี้อีกทางเหรอ?’ แล้วตั้มก็เดินแยกจากกลุ่มเราไปอีกทางหนึ่ง เราก็ยังคิดในใจ ว่าตั้มมันพูดกับใคร? ..แล้วป้าก็เรียกให้พวกเราเข้าไปด้านใน ซึ่งก็เหมือนกับห้องร้างๆ ที่เห็นตามรายการล่าผีทั่วไปน่ะค่ะ แต่มันมีอยู่จุดหนึ่ง เป็นเหมือนบ่อพักน้ำ หรือช่องอะไรสักอย่างขนาดใหญ่ เพื่อนเราก็ถามป้าว่า ช่องนี้มันคืออะไรคะป้า?’ ป้าแกก็ตอบว่า ช่องระบายน้ำธรรมดาไม่มีอะไร..จังหวะนั้นเอง เพื่อนเราก็เห็นน้องผู้ชายคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหลังป้าไกลๆ ลักษณะคล้ายรุ่นน้องคนที่มาด้วยกัน เพื่อนเราก็ทักออกไปว่า เบนซ์! มาถ่ายคลิปตรงนี้ดิ มีบ่ออะไรไม่รู้..แต่แล้ว เสียงเบนซ์ก็ดังมาจากข้างหลังแถวว่า พี่ ผมอยู่นี่!แล้วเพื่อนเราก็หันไปมองข้างหลัง ซึ่งเบนซ์ก็อยู่ข้างหลังจริงๆ พอหันกลับไปที่ป้า ด้านหลังป้าก็ไม่เห็นใครเลย.. ทีนี้พวกเราก็เริ่มรู้สึกไม่ดีละ ที่เพื่อนเรากันเองเหมือนจะเห็นอะไร เลยบอกป้าว่าให้พาออก เราก็เริ่มอยากออกแล้ว รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก

แล้วพวกเราก็มาเจอน้องตั้มบริเวณก่อนทางออก เราก็ทักน้องตั้มว่า อ้าวตั้ม ไม่ได้เข้าไปกับพวกเราเหรอ ไปไหนมา?’ ตั้มบอกว่า ตั้มเจอพี่ผู้หญิง 2 คน เหมือนชาวพม่าหน่อย พูดไม่ค่อยชัดอ่ะ เขารู้จักกับป้าด้วย เขาพาตั้มเดินไปอีกทาง เดินง่ายกว่า ไปข้างในได้เหมือนกันเลย..พอตั้มพูดจบเท่านั้นล่ะ ป้าไปคนแรกเลยค่ะ เดินจ้ำออกฉับๆๆๆ ไม่พูดสักคำว่าจะไปแล้ว ปล่อยให้พวกเรามองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเราก็จ้ำตามสิคะ ก้าวยาวสุดๆ เท่าที่จะยาวได้ มารู้ทีหลังว่าคนหลังสุดคือน้องเบนซ์ บอกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบใบไม้แห้งตามมาติดๆ เลย.. ออกจากประตูมาได้ ป้ารีบปิดล็อคประตูทางเข้า แล้วยืนนิ่งๆ ถามน้องตั้มว่า หนูไปอีกทางมาเหรอลูก แล้วใครพาหนูไปนะ?’ ตั้มบอกว่า เป็นพี่ผู้หญิง 2 คนใจดีมาก พูดไทยไม่ชัด เขาพาเดินเที่ยวไปทางข้างหลังครับ..ป้าแกก็ดูหน้าเสียไป และบอกว่า ทางนั้นป้าก็ไม่ค่อยอยากให้เดินหรอก ที่จริงมันอันตราย และอีกอย่างข้างในนั้นน่ะ ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากป้ากับพวกเรานะ..พอตั้มได้ฟังแค่นั้นแหละ ถึงกับล้มทั้งยืนเลยค่ะ.. จากที่ได้คุยๆ กันมานะคะ ป้าคนนี้แกเคยเป็นคนขายของอยู่แถวนี้มานาน ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นหญิงขายบริการในนั้น ซึ่งป้าแกก็จะรู้จักเกือบทุกคน.. และพอจบทริปครั้งนั้น น้องเบนซ์คนที่รับหน้าที่ถ่ายคลิป ก็กลับไม่ยอมเอาคลิปมาลงให้เพื่อนๆ ดู บอกแค่ว่าเผลอลบไปหมดแล้ว..

Story by คุณวุ้นเส้น

ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/

 
...................................................................
...................................................................




5.

เรื่อง ผีในห้องน้ำวัด

เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 10 กว่าปีก่อนได้แล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเอง แต่เกิดขึ้นกับแม่ของผม พอผมโต แม่ก็เอามาเล่าให้ฟังครับ..

ย้อนกลับไปตอนนั้นผมยังไม่เกิดครับ และแม่กำลังท้องผมอยู่ วันนึง ครอบครัวผมก็มีแพลน ว่าจะไปทำบุญที่วัดวัดหนึ่ง ในจังหวัดกาญจนบุรี ไปกันทั้งครอบครัวเลยครับ ก็ออกเดินทางกันไป.. พอถึงวัด พี่สาวของผมเกิดปวดฉี่ เลยขอเข้าห้องน้ำ ลักษณะห้องน้ำที่วัดนี้จะเป็นแบบรูปตัว T พอเราเดินเข้าไปปุ๊บ จะมีแยกซ้ายกับขวา และมีห้องน้ำเรียงต่อกันยาวเป็นบล็อคๆ

พี่สาวผมตัดสินใจเลี้ยวเข้าห้องน้ำทางฝั่งขวามือ ห้องในสุด ทำธุระเสร็จก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น.. จนกระทั่งผ่านไป ทำบุญอะไรกันเรียบร้อย แม่ผมก็ขอไปเข้าห้องน้ำบ้าง แม่ตัดสินใจเข้าห้องน้ำทางฝั่งซ้ายมือ ซึ่งก่อนที่แม่จะเข้าห้องน้ำ แม่จะทำการเช็คสภาพห้องน้ำแต่ละห้องก่อนทุกครั้ง เช่นห้องน้ำนี้ประตูมีรูมั้ย.. สะอาดมั้ย.. จนกระทั่งแม่ผมก็ตัดสินใจ เข้าห้องน้ำห้องในสุดซ้ายมือ ที่ดูสะอาด สมบูรณ์กว่าห้องอื่น

แม่ผมก็ทำธุระไปไม่มีอะไร แต่พอเสร็จจะเปิดประตูออก.. ประตูกลับเปิดไม่ออก.. บิดลูกบิด แก่กๆๆ ยังไงก็ไม่ออก.. แม่ผมบอกว่าไม่เหมือนประตูติด แต่เหมือนมีแรงคนดันจากอีกฝั่งไว้! เพราะเวลาออกแรงดึงจะรู้สึกได้.. สักพักเสียงมาครับ ตึงๆๆๆ! ..ตึงงงๆๆๆ!เป็นเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่าง ดิ้นอยู่บนหลังคา ตอนแรกแม่ก็นึกว่าแมวเลยไม่ได้แหงนขึ้นไปดู ยังคงบิดลูกบิด เพื่อที่พยายามจะออกมา แต่เสียง ตึงๆๆๆก็ไม่หยุด จนแม่ต้องตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปดู (หลังคาห้องน้ำวัดที่นี่ เป็นหลังคาโปร่งแสง เวลาแดดส่องจะสว่างเข้ามาเป็นสีเหลือง) สิ่งที่แม่เห็น คือเงาผู้หญิงผมยาวดิ้นแรง ผมสยายไปมา สองมือทาบที่หลังคา ก้มหน้าแนบติดหลังคา จนสามารถเห็นแววตาโปนปูด ที่กำลังมองลงมาหาแม่อย่างเคียดแค้น และก็ดิ้น ตึงๆๆๆ!อยู่อย่างนั้นต่อ

แม่ก็รีบบิดประตูรัวๆ จะออก และข้างบนมันก็ยังสั่นไม่หยุด.. แม่ผมเป็นคนจิตแข็ง ไม่กลัวผี และคงโมโหเลยด่าออกไป จะมาขออะไรมึงก็มาดีๆ มึงจะเปิดไม่เปิด!? ถ้ามึงไม่เปิด กูจะกรวดขี้กรวดเยี่ยวไปให้มึงแดกเลย อีเหี้ย!!สักพักเสียงตึงๆๆ ข้างบนนั้นก็หายไป.. แม่บิดประตูอีกครั้ง ทีนี้เปิดออกได้ง่ายๆ เฉยเลย พอแม่ออกมาล้างมือ สายตาแม่เหลือบไปมองกระจกอ่างล้างมือ สะท้อนเห็นเป็นผู้หญิงผูกคอห้อยโตงเตง อยู่หน้าห้องน้ำห้องในสุด ที่แม่พึ่งออกมา! แล้วดิ้นไปดิ้นมาเอามือจับเชือกที่คออย่างทรมาน เหมือนจะให้แม่ผมกลัว..       

แม่ผมรีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำเลย ทุกคนก็ถามว่าเป็นอะไร? แม่เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง จนสุดท้ายเลยไปถามหลวงตาเก่าแก่ที่วัดนี้ ท่านก็เล่าว่า มีผู้หญิงคาดว่าน่าจะทะเลาะกับแฟนมา เลยมาผูกคอตายอยู่ในห้องน้ำห้องนั้น วิญญาณอาฆาตมาก ไม่ยอมไปไหน เชิญออกก็ไม่ออก.. ใครเข้าห้องนั้นโดนกันหมด จนคนแถวนี้เค้ารู้ เลยไม่มีใครเข้าห้องนั้นกันแล้ว..แม่ผมถึงบางอ้อเลยครับ ว่าทำไมห้องน้ำห้องนั้นถึงดูใหม่ ดูสมบูรณ์กว่าห้องอื่นๆ

Story by คุณก๊าซ


ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/


................................................................................................
................................................................................................
6.
เรื่อง เสียงปริศนา
เนื่องจากวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมานี่เอง แอดมินได้จองที่พัก มาเที่ยวพักผ่อนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง อยู่ที่ช่องเขาขาด อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดยรีสอร์ทแห่งนี้ จะสร้างออกมาให้ดูเป็นแคมป์ ลักษณะที่พักแต่ละหลัง จะเป็นเต๊นท์ขนาดใหญ่ ภายในเต๊นท์ก็จะเหมือนห้องโรงแรมเลย มีเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง มีแอร์ แต่ไม่มีทีวีนะครับ และมีห้องน้ำส่วนตัว อยู่ด้านหลังเต๊นท์แต่ละหลัง คือต้องรูดซิปเต๊นท์ด้านหลังออกไป ถึงจะเจอห้องน้ำ มีอ่างล่างหน้าตรงกลาง และทางซ้ายขวา จะแบ่งเป็นห้องอาบน้ำ และห้องส้วม
     วันแรกแอดมินขับรถไปถึง ก็ประมาณเกือบบ่ายโมง เช็คอิน และก็กินอาหารเที่ยงที่นี่เลย แคมป์นี้จะอยู่ติดกับแม่น้ำแคว วิวสวย เว้นแต่ว่าอากาศค่อนข้างร้อน กิจกรรมวันแรกนี่ไม่มีอะไรมาก ก็จะมีไปขี่จักรยานเล่น ไปน้ำตก ชมธรรมชาติเรื่อยเปื่อยครับ.. จนเหตุการณ์มันเกิดขึ้นตอนกลางคืนครับ หลังจากที่กินข้าวเย็นกันที่แคมป์เสร็จ ประมาณ 2 ทุ่ม ก็กลับเข้าเต๊นท์ และก็เป็นกิจวัตรประจำวันของแอดมิน คือต้องนั่งคัดเลือก เรียบเรียง เขียนเรื่องเล่าก่อนนอนลงเพจ เลยหิ้วโน็ตบุค แล้วไปนั่งพิมพ์เรื่อง อยู่ที่ชิงช้าใต้ต้นไม้ในสวนคนเดียว เพราะต้องการใช้สมาธิ..
ระหว่างที่นั่งพิมพ์เรื่องเล่าอยู่นั้น จู่ๆ ในหัวก็เกิดคิดขึ้นมาว่า เราอยู่จังหวัดกาญจนบุรี ที่ใครๆ ก็บอกว่าผีดุนี่นา.. ตอนนั้นยอมรับว่าเริ่มหวิวๆ เพราะก็นั่งเขียนเรื่องผีไปด้วย แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก รีบพิมพ์เรื่องต่อให้เสร็จดีกว่า.. จากนั้นไม่เกิน 5 นาที เสียงมาเลยครับ ต่อกๆๆเป็นเสียงแปลกๆ และอยู่ใกล้มากๆ ไม่ใช่หูฝาดแน่นอน เพราะแอดมินเป็นคนมีสติ.. ตอนนั้นพิมพ์เรื่องเสร็จแล้ว เหลือแต่แต่งรูปประกอบเท่านั้น.. ยังไม่ทันไร เสียงแปลกๆ นั่นมาอีกแล้วครับ ต่อกๆๆๆๆตอนนั้นชักใจไม่ดีแล้วครับ มองไปรอบๆ ยังไงก็ไม่มีใครแน่ๆ เลยรีบหอบของกลับมาทำต่อที่เต๊นท์.. สุดท้ายก็เสร็จ เรื่องที่ 78 เมื่อวานนั่นล่ะครับ
และในคืนนั้นเอง น่าจะเลยตี 2 ไปแล้ว แอดมินก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียง ต่อกๆๆๆๆมันดังมาจากทางห้องน้ำ แต่โชคร้าย ที่ตอนนั้นก็ดันปวดฉี่มากๆ ด้วย พยายามจะปลุกคนที่นอนข้างๆ แต่ปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่น เลยต้องกลั้นใจไปเข้าห้องน้ำคนเดียว.. อย่างที่บอกตอนแรกครับ ห้องน้ำจะต้องรูดซิปออกจากเต๊นท์ไป สภาพห้องน้ำจะเป็นเพิงไม้ไผ่ แบบธรรมชาติเลย ก็เข้าไปแบบกล้าๆ กลัวๆ.. เหมือนฝนจะตกด้วย บรรยากาศน่ากลัวมากๆ และระหว่างที่ทำธุระอยู่นั่นเอง คราวนี้ชัดเจนเต็ม 2 หูเลยครับ ต่อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆไม่ยอมหยุด เสียงใกล้เหมือนกับอยู่ในห้องนี้เลย! จังหวะนั้นรีบสะบัด และหันกลับไป เห็นเต็มๆ เลย ดวงตาจ้องเขม็งมา พร้อมกับเสียง ต่อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ต๊อก.. แก่..ตอนนั้นนี่ ขนลุกวาบเลยครับ!
นี่คือประสบการณ์ขนหัวลุก ที่แอดมินเจอกับตัวเอง และนำมาเล่าให้ฟัง ไว้ครั้งหน้าถ้าเจออะไร จะมาแชร์ให้ฟังกันอีกแน่นอนครับ ??
Story by SINTHAI
ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
 ...................................................................
.....................................................................



7.

เรื่อง  ผีเข้ากลางดึก

ขวัญกับกลุ่มเพื่อนอีก 4 คน เดินทางมาต่างจังหวัดเพื่อทำงานของมหาวิทยาลัย เพื่อนขวัญทั้ง 4 คน เป็นแฟนกัน คือคู่นัท กับโจ้ และคู่เนย กับเอก ทั้ง 5 คนได้เดินทางมาพักยังโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี

ทั้งหมดแบ่งห้องกันทั้ง 3 ห้องโดยที่จะนอนเป็นคู่ ส่วนขวัญนอนคนเดียว แต่ขวัญเป็นคนที่ขี้กลัวมากจึงบอกเพื่อนว่า ไม่กล้านอนคนเดียว ขอไปนอนรวมด้วยแล้วกัน สุดท้ายก็ตกลงคืนห้องไป และย้ายไปนอนกับคู่นัท กับโจ้ โดยที่โจ้เสียสละนอนพื้น และให้ขวัญกับนัทนอนบนเตียง..

กลางดึกคืนนั้น ขวัญนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเสียงแอร์ค่อนข้างดังเนื่องจากเป็นแอร์เก่าๆ สักพักขวัญได้ยินเสียงลูกปิดประตูหมุนช้าๆ และเปิดออก จากนั้นมีเสียงเหมือนเครื่องดนตรีไทยเล่นอยู่เบาๆ มาจากนอกห้อง และหายไป และค่อยๆ ดังขึ้นอีก ขวัญตัวแข็งไม่กล้าลืมตาหรือขยับตัวไปไหนเลย

เมื่อเสียงเงียบลง..ขวัญตัดสินใจพลิกตัวเพื่อหันไปเรียกนัทที่นอนข้างๆ แต่สิ่งที่ขวัญเห็นคือ นัท ที่หน้าซีด และไม่มีแววตา ยืนฟ้อนรำอยู่ที่ปลายเตียง..

Story by SINTHAI

 ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/

..........................................................................

...........................................................................



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องผีที่สมุทรปราการ

เรื่องผีที่ร้อยเอ็ด

เรื่องผีที่ลำปาง