เรื่องผีที่สระบุรี


1.

เรื่อง สยองที่มวกเหล็ก

                เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2550 เป็นช่วงเวลาไม่นานหลังจากที่มีข่าวไฟไหม้รถทัวร์ บริเวณหน้าฟาร์มโคนม ถนนมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี มีผู้เสียชีวิตมากถึง 29 ศพ และบ้านป้าของเราก็อยู่แถวๆ นั้นเองค่ะ.. วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันหยุดของพ่อเรา พ่อก็นัดกับอาเพื่อที่จะไปเยี่ยมป้ากัน โดยขับรถยนต์ส่วนตัวไป ก็จะมีพ่อเป็นคนขับ แม่นั่งหน้าข้างคนขับ ส่วนอากับเรานั่งหลัง ไปกันแต่เช้า อยู่บ้านป้าทั้งวัน กว่าจะกลับออกมากันก็เกือบทุ่มแล้วค่ะ

ช่วงนั้นฟ้ามืดแล้ว คนที่เคยไปมวกเหล็กจะทราบดี ว่าจะต้องลอดใต้สะพานเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปสระบุรี พอลอดใต้สะพานแล้ว จะเห็นศาลารอรถทัวร์ ที่จะอยู่หน้าโรงพยาบาล ขับมาอีกหน่อยก็จะถึงหน้าฟาร์มโคนม ตรงที่เกิดเหตุ และตรงนั้นจะมืดมากๆ เพราะไม่มีไฟ.. พ่อเราขับช้าๆ เพื่อที่จะเบี่ยงเข้าเลนทางหลัก ระหว่างนั้นไฟหน้ารถก็สาดให้เห็นข้างทางพอดี แค่แว๊บเดียวเท่านั้นค่ะ เราเห็นกลุ่มคนยืนอยู่ 4-5 คน กำลังโบกรถอยู่ เห็นชัดขนาดที่ว่ามีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นใส่เสื้อสีน้ำเงิน มีเด็กมาด้วย แต่ที่แปลกคือ เรามองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขาเลย มันมัวๆ แปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก.. เราเลยพูดกับแม่ว่า มืดขนาดนี้ มายืนรอรถตรงนี้? ทำไมถึงไม่ไปยืนรอตรงศาลา? แล้วรถจะเห็นเหรอ เนอะแม่เนอะ..แต่แม่เราก็ไม่ได้ตอบอะไร

พอพ่อขับรถเข้าไปใกล้ๆ เรากลับไม่เห็นคนกลุ่มนั้นแล้ว ทั้งๆ ที่ไฟหน้ารถก็สว่างพอที่จะมองเห็น เรากับอาเลยหันหลังไปดูให้แน่ใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครยืนตรงนั้นเลย.. ระหว่างนั้นเราได้ยินเสียงแม่เรา อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า รถคันนี้คนเต็มแล้ว มีพระคุ้มครองด้วย ต่างคนต่างอยู่กันเถอะนะ..เรากับอาก็เลยหันกลับมา แล้วก็ต้องช็อคสุดขีดกับภาพที่เห็นค่ะ! เพราะที่ด้านนอกหน้าต่างฝั่งแม่เรานั้น มีชายใส่เสื้อสีน้ำเงินกำลังมองเข้ามา ในลักษณะเอามือหนึ่งทาบกระจกหน้าต่าง อีกมือหนึ่งป้องสายตาส่องเข้ามาในรถ ทั้งๆ ที่รถวิ่งอยู่ ภาพนั้นช็อคมากกกค่ะ! ทุกคนเงียบหมดด้วยความอึ้ง สรุปคือทุกคนในรถเห็นกันหมด รวมถึงพ่อเราด้วย แต่พ่อก็มีสติดีมาก ขับรถต่อไปแบบปกติเลย จนผ่านไปสักระยะหนึ่งเขาถึงได้หายไปเองค่ะ..

Story by คุณพร (นามสมมติ)

ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
...................................................
.........................................................




2.

เรื่อง เจ้าที่ประจำค่าย

เป็นเรื่องจริงที่ผ่านมาได้ 6 ปีแล้วค่ะ แต่เรายังไม่เคยลืมเลย ขอบอกก่อนนะคะว่าเราเป็น

คนที่กลัวผีมากๆ และก็ยังไม่เคยเจอมาก่อน ตอนนั้นเราเรียนอยู่ชั้น ป.5 แล้วก็ได้ไปเข้าค่ายรวมกับโรงเรียนอื่นๆ ที่จังหวัดสระบุรี และเรื่องมันก็เกิดขึ้นในคืนที่ 2 ค่ะ

พวกเราอยู่กันในหอประชุมใหญ่เพื่อทำกิจกรรม พอเสร็จ ก่อนที่จะปล่อยให้ไปนอน ครูฝึกก็ได้เตือนพวกเราว่า ถ้าถึงเวลานอนแล้ว ทุกคนต้องนอน ห้ามเล่นห้ามส่งเสียงดัง เจ้าที่ที่นี่แรงตอนนั้นเราก็ไม่คิดอะไร เพราะเพื่อนๆ ก็เยอะแยะ ..พอปล่อยให้เข้านอน นึกภาพหอนอนตามนะคะ มันจะเป็นที่นอน 2 ฝั่ง หันเท้าชนกัน ที่นอนจะเรียงยาวๆ มีทางเดินตรงกลาง หอมี 2 ชั้น แต่ชั้น 2 จะไม่มีใครนอน ส่วนมากมีแต่คนแอบเอามือถือขึ้นไปชาร์จแบต เพราะข้างล่างปลั๊กไฟไม่พอ ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่แอบขึ้นไปชาร์จแบต ช่วงที่ขึ้นไปเราไปคนเดียวค่ะ ข้างบนมืดมากๆ ถ้าไม่เปิดไฟฉายแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย มันรู้สึกหวิวๆ แปลกๆ แบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่คิดว่าคงเป็นเพราะความมืดมากกว่า พอชาร์จแบตเสร็จเราก็ลงมานอนค่ะ

แรกๆ ก็คุยเล่นยังไม่นอนกันหรอกค่ะ สักพักพอเริ่มเงียบ ก็เริ่มง่วง แล้วก็หลับกันหมด.. อยู่ๆ เราก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะอะไรก็ไม่รู้ค่ะ ทุกอย่างตอนนั้นมันเงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้อง เสียงลมพัด เราลืมตาขึ้นมา ตอนนั้นไม่รู้คิดยังไง อยู่ๆ ก็มองขึ้นไปที่ชั้น 2 ที่ไม่มีใครอยู่ แต่สิ่งที่เราเห็นคือชายแก่ใส่ชุดขาวทั้งตัว ผมขาวหนวดขาว ยืนจ้องลงมาที่เรา! คือตอนนั้นคิดเลยว่า โดนเข้าแล้ว เขาเลือกที่จะให้เราเห็นแน่ๆ เพราะคนอื่นหลับกันหมด แต่เรากลับตื่นมาเห็นเขา.. เราถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลย รีบห่มผ้าจะคลุมโปง แต่ผ้าห่มก็ดันไม่อำนวยค่ะ ผ้าห่มจะสั้นแบบปิดหัวเปิดขา ปิดขาเปิดหัว แต่สุดท้ายเราก็พยายามขดตัวจนปิดทั้งขา และหัวจนได้ แล้วเราก็หลับวูบไปตอนไหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน..

รู้สึกตัวอีกทีคือเช้าแล้ว แต่เรากลับรู้สึกเพลียมากค่ะ และที่ทำให้ต้องกลัวอีกคือ เราต้องขึ้นไปเอามือถือกับสายชาร์จข้างบนนี่สิคะ แต่พอดีมีเพื่อนที่จะขึ้นไปเอามือถือเหมือนกัน เราเลยฝากให้หยิบของเรามาให้ด้วย เราเก็บที่นอนแล้วก็ไปอาบน้ำ แต่มีเพื่อน 2 คนที่นอนข้างเราเดินเข้ามาทักว่า กิ๊ฟ เมื่อคืนมึงเป็นอะไรหรือเปล่า? กูเห็นมึงลุกขึ้นมานั่งมองที่ชั้น 2 ทั้งคืน กูหลอนนะเราถึงกับอึ้งเลยค่ะ ก่อนจะตอบไปว่า เมื่อคืนกูคลุมโปงนอนทั้งคืนนะ กูจะลุกขึ้นมาทำไม น่ากลัวจะตาย..เพื่อนเรา 2 คนก็เงียบแล้วมองหน้ากันค่ะ ไม่พูดอะไรต่อเลย แต่เราก็ยังไม่กล้าเล่าให้เพื่อน 2 คนฟังว่าเมื่อคืนเราเห็นอะไร..

จนวันเปิดเรียนหลังจากที่กลับมาจากเข้าค่าย เราก็มาได้รู้ว่า เพื่อนๆ หลายคนที่ไปก็ได้เห็นอะไรแปลกๆ เหมือนกัน บางคนก็เห็นที่ชั้น 2 เหมือนเรา บางคนก็เห็นมาเดินอยู่ที่ทางเดินหน้าเตียงเลย แต่ทุกคนที่เห็นกลับบอกลักษณะออกมาได้ตรงกันแบบไม่ผิดเพี้ยน คือเป็นชายแก่ในชุดขาวทั้งตัว ผมขาวหนวดขาว.. ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็ขนลุกกันไป แต่เรากลับสงสัยว่า ทำไมถึงมีแต่เราคนเดียวที่เขาจ้องหน้า แล้วทำไมเพื่อนเรา 2 คน ถึงยืนยันเสียงแข็งว่าเราลุกขึ้นมานั่งตอนกลางคืน..

Story by คุณกิ๊ฟ


ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/



 ........................................................................
..........................................................................

3.
เรื่อง โรมแรมนี้ผีดุ
ประมาณ 4 ปีที่แล้ว สมัยนั้นหนูทำงานเป็นเซลล์ขายของ ออกบูทโชว์สินค้าตามห้าง ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไปมันทุกจักหวัด แต่มีอยู่จังหวัดหนึ่งที่หนูจำไม่ลืมเลย สระบุรีค่ะ.. สระบุรีเป็นจังหวัดเล็กๆ อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถไม่นานก็ถึง.. โดยปกติเวลาไปออกบูธ ทางบริษัทจะให้ไปเป็นเป็นทีมค่ะ 8 คนบ้าง 6 คนบ้าง 4 คนบ้าง แล้วแต่ขนาดบูธ ครั้งนี้เป็นห้างเล็กๆ บริษัทให้มากัน 4 คน เป็นเวลา 1 อาทิตย์ค่ะ.. วันเดินทางพวกหนูก็นัดกัน 3 คน ว่าจะไปเจอกันที่โรงแรมที่บริษัทจองไว้ให้เลย และมีน้องอีกคนป่วยเป็นตาอักเสบ ต้องไปหาหมอก่อน แล้วจะตามมาตอนเย็น.. ด้วยความที่หนูอยู่แถวรังสิต ก็จะเดินทางถึงโรงแรมก่อนพี่ๆ อีก 2 คน
พอหนูมาถึงโรงแรม ตอนนั้นเวลาประมาณ 9 โมงเช้า บรรยากาศที่โรงแรม ก็เหมือนโรงแรมทั่วไปตามต่างจังหวัด คนไม่เยอะ พอดีเจอตำรวจ 2 นายเช็คเอ้าท์ออก หนูก็ลากกระเป๋าเดินเข้าไปหน้าเคาน์เตอร์ ก็เจอป้าคน 1 รอรับลูกค้าอยู่ ก็แจ้งไปว่าจองไว้ 2 ห้อง จากบริษัทค่ะ ระหว่างรอหนูก็ไปสะดุดกับรูปใหญ่ๆ ด้านหลังเคาน์เตอร์ เป็นรูปชายหญิงสูงวัย พร้อมมีกระถางธูปใหญ่มากตั้งอยู่ ในใจก็คิดว่าคงเป็นเจ้าของโรงแรมรุ่นแรกๆ เพราะโรงแรมดูดี ดูหรูนะ ถ้าเป็นสมัยก่อน แต่สมัยนี้ต้องเรียกว่าเก่าแก่เลยทีเดียว.. พอได้กุญแจห้อง เป็นห้องชั้น 4 ติดกัน 2 ห้องค่ะ.. หนูก็ไปนั่งรอพี่ๆ อยู่ที่เก้าอี้ในล็อบบี้โรงแรม รอบๆ เป็นกระจกมองเห็นถนนด้านนอก นั่งรอไม่นาน พวกพี่ๆ อีก 2 คนก็มาถึง
จากนั้นพวกเรา 3 คนก็ไม่รอช้าค่ะ ตรงไปที่ลิฟท์กันเลย ลิฟท์จะอยู่หลังเคาน์เตอร์ แต่ที่แปลกคือ หน้าลิฟท์จะมีกระดาษเก่าๆ เขียนบอกเวลา เปิด-ปิด ลิฟท์ไว้ชัดเจน ถ้าจำไม่ผิดลิฟท์จะปิดเวลา 2 ทุ่มเท่านั้นค่ะ ด้วยความที่ไปมาหลายจังหวัด ก็เพิ่งเจอที่นี่ล่ะค่ะ ที่มีเวลา เปิด-ปิด ลิฟท์ ในใจก็ไม่ปลื้มหรอก คือเราใส่ส้นสูง ห้างปิดกลับมาต้องเดินขึ้นบันไดเนี่ยนะ? พอเข้าลิฟท์ไปก็แอบบ่นๆ กันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้โวยอะไร.. ห้องพวกเราอยู่ชั้น 4 ค่ะ พอประตูลิฟท์เปิดมา ก็รู้สึกเครียดเลย เจอทาง 4 แพร่ง ข้างลิฟท์เป็นบันได ที่มองลงไปจะเห็นทุกชั้นแบบวนๆ เป็นตัว U ด้านหน้า และอีกข้างเป็นทางเดิน.. ใจหนูนี่ไม่ได้อยากคิดมากหรอกค่ะ แต่สมองมันมโนไปก่อน.. ตามทางเดินนี้ไฟไม่สว่างเลย ออกสลัวๆ.. ห้องหนูจะอยู่หัวมุมพอดี อีกห้องก็จะอยู่ถัดไป พี่อีก 2 คนพูดพร้อมกันเลยค่ะ ห้องนี้น้องอยู่แล้วกันนะ พวกพี่ขออยู่อีกห้องนึงด้วยความที่น้องอีกคนยังไม่มา หนูก็รีบพูดเลย พี่ๆ งั้นวันนี้หนูขออยู่ด้วยก่อนแล้วกันพี่ๆ ก็โอเคๆ
พวกเราก็ลากกระเป๋าไปห้องถัดไป หนูเป็นคนถือกุจแจ ก็เสียบกุญแจหมุนเปิดล็อคตามปกติ แล้วผลักประตูเข้าไป ผลักอยู่ 3 รอบไม่ออก หนูหันมามองหน้าพี่ๆ แล้วลองให้พี่ๆ เปิดดู ตอนนั้นความรู้สึกเรา มันไม่เหมือนประตูติด แต่มันรู้สึกเหมือนมีแรงคนดันอยู่จากข้างในห้อง แต่ก็ไม่ได้บอกพี่ๆ เค้า.. พอพี่ๆ ลองเปิด ก็เป็นเหมือนกันค่ะ ไม่ออก พี่ๆ ก็เริ่มหงุดหงิด เปิดไปด้วยด่าไปด้วย ติดเหี้ยไรวะ เปิดไม่ได้!เท่านั้นล่ะ ประตูเปิดได้แบบง่ายๆ เฉยเลย.. พอเข้าไปในห้องก็เสียบการ์ดที่ข้างประตู ไฟก็ติด แต่ติดเพียงบางดวงเท่านั้น คือมืดค่ะ มองอะไรไม่ชัด มันดูยังไงๆ ไม่รู้ จนพี่คนนึงต้องไปเปิดม่าน พร้อมกันกับที่หนูเดินไปเปิดไฟห้องน้ำ เพื่อให้แสงสว่างมันเพียงพอ แล้วอยู่ๆ พี่ที่ไปเปิดม่านก็ร้อง เหี้ย!!ขึ้นมาดังมาก เรากับพี่อีกคนวิ่งไปดู ภาพที่เห็นคือเมรุเผาศพค่ะ! คือห้องนี้เปิดม่านมาเจอเมรุเผาศพ มีอีกาบนหลังคาเต็มไปหมด บรรยากาศไม่ต้องบรรยายเลย นาทีนั้นรู้อย่างเดียว ต้องย้ายออก นอนไม่ได้แน่ๆ ก็นั่งคุยกันแล้วโทรกลับไปบริษัท แจ้งขอย้ายทันที ผู้จัดการก็ใจดีอนุมัติค่ะ เท่านั้นล่ะ พวกเรารีบลงมา ออกไปหาโรงแรมใหม่กันเลย ไปกันแต่ตัวนะคะ กระเป๋ากับของยังคงไว้ที่ห้องก่อน
พอหาโรงแรมใหม่ได้ ก็ต้องจ้างรถสามล้อมาขนกระเป๋า และของสต๊อคสำหรับออกบูธ ที่ทีมงานเอามาทิ้งไว้ให้ก่อนหน้านี้ประมาณ 10 ลังได้ และประเด็นคือ ลังพวกนั้นอยู่ในห้องพักค่ะ ห้องที่หนูต้องนอน แต่ยังไม่ได้เข้าไป.. พอรถสามล้อมาถึงหน้าโรงแรม ลุงคนขับสามล้อบอกก่อนเลย ลุงรอข้างล่างนะ..เท่านั้นล่ะค่ะ รู้เลยว่าลุงคงจะรู้เรื่องเยอะ แต่นาทีนั้นก็ต้องรีบเข้าไปเอาของกันค่ะ.. พวกเรารีบขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 4 ทีนี้เราเปิดห้องตรงมุมทาง 4 แพร่งก่อน เพื่อจะเอาของสต๊อคในห้องนี้ แต่ก็เหมือนเดิมค่ะ เปิดไม่ออก ต้องเปิด 3-4 รอบถึงจะเข้าได้ พอเข้าไปไฟก็เป็นเหมือนกัน คือติดบ้างไม่ติดบ้าง พวกเราก็แบ่งหน้าที่กัน คนนึงไปเปิดม่าน ส่วนหนูไปเปิดไฟห้องน้ำ พอเปิดไฟห้องน้ำ หนูก็หันหน้าไปบอกพี่อีกคน พี่ๆ มาดูนี่สิ ห้องนี้มีอ่างอาบน้ำด้วย ห้องเมื่อกี้ไม่เห็นมีเลยนะพี่ที่เดินเข้ามาดูตะโกนดังมาก พร้อมกับดึงหนูออกมา และปิดประตูทันที พี่บอกให้รีบขนของกันให้ไวเลย หนูตกใจมาก รู้เลยว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
จังหวะนั้นพวกเราเก่งกันมาก ขนของเข้าลิฟท์รอบเดียว ทั้งที่ของเยอะมาก ความรู้สึกตอนขนนี่ไม่น่าเกิน 15 นาที คือเหมือนไฟไหม้บ้าน แล้วมีแรงฮึดประมาณนั้นเลย ทีนี้พอกำลังจะกดลิฟท์ลง พี่คนนึงก็บอกว่า เดี๋ยวๆ เปิดก่อน มีคนจะเข้า..ทีนี้พี่อีกคนรีบกดปิดอย่างไวเลยค่ะ ตอนนั้นรู้อย่างเดียว ทุกคนเงียบกริบกันหมด ไม่พูดอะไรจนถึงชั้นล่าง.. พวกเรานั่งพักคุยกันที่ล็อบบี้ข้างล่างค่ะ พี่ที่เจอเล่าว่า สิ่งที่พี่เจอในห้องน้ำ คือขาผู้ชายมีขนหน้าแข้ง ซีดขาวพาดอยู่ที่อ่างอาบน้ำ และมีม่านปิดครึ่งนึงอยู่.. แล้วที่เมื่อกี้รีบกดปิดลิฟท์ เพราะไม่เห็นว่ามีใครอยู่นอกลิฟท์เลย..พี่อีกคนกลับยืนยันว่าเห็นผู้ชายมีอายุ เดินมาช้าๆ จะขอลงไปด้วย! ได้ฟังกันอย่างนั้น พวกเรานี่เสียวสันหลังวาบเลยค่ะ.. ตอนที่ส่งกุญแจให้ป้าที่เคาน์เตอร์และบอกแกว่า พวกหนูขอย้ายออกนะป้าป้าแกไม่ถงไม่ถามอะไรสักคำ กลับยิ้มอ่อนๆ แบบว่าเหมือนเข้าใจโลก.. โรงแรมนี้บอกเลยขนาดหนูไปกันตอนกลางวัน แต่บรรยากาศข้างในนี้สุดยอดมาก ไม่อยากคิดเลยว่ากลางคืนจะขนาดไหน..
Story by คุณลลิตา
ขอบคุณที่มา https://www.thehouse.online/story/
.....................................................
.....................................................



4.

เรื่อง  คาดไม่ถึงยิ่งกว่า-คุณแชมป์ 

                เรื่องเกิดที่สระบุรี ตอนที่แชมป์เรียนอยู่ ปวช.3 แชมป์ขับรถมอไซด์ไปโรงเรียน โดยจะไปบ้านเพื่อนต้อม ซึ่งเป็นเพื่อนก่อน ปรากฏว่ามอเตอร์ไซด์โซ่ขาด จึงตัดสินใจจูงรถไปบ้านต้อมที่อยู่กลางทุ่งนา เจอแม่ต้อม เลยบอกว่ารถเสีย แม่เลยบอกว่างั้นก็อยู่บ้านนี่แหละ แชมป์ก็ไปเปิดทีวีดู สักพักแชมป์ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์ต้อมกลับมา เลยถามว่า อ้าวกลับมาทำไม ไม่ไปเรียนเหรอ ต้อมเลยบอกว่าเพื่อนเค้าจะรวมกลุ่มไปเที่ยวกัน เห็นไม่ไปกูเลยไม่อยากไป  แล้วปวดหัวเลยกลับมานอน ต้อมก็เข้าห้องไป สักพักมีเสียงโทรศัพท์บ้าน โทรมาจากโรงพยาบาลว่า ต้อม เสียชีวิตแล้ว แชมป์ก็มือสั่น ตัวสั่นตกใจ แชมป์ตัดสินใจไปเปิดประตูห้องต้อม ปรากฏว่าเจอต้อมนอนอยู่ โดยหันหลังให้ประตู หันหน้าเข้ากำลัง แชมป์รวบรวมความกล้าไปเขย่าต้อมเพื่อปลุก แล้วบอกต้อมว่า โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าอ่ะตายแล้ว รถคว่ำตาย ต้อมเลยสวนกลับว่าบ้าเหรอ แล้วต้อมบอกว่างั้นไปดูศพกูกัน ก็พากันขับรถกระบะไป โดยแชมป์เป็นคนขับ เพราะต้อมปวดหัว ระยะทางจากบ้านไปโรงพยาบาลประมาณ 1 ชั่วโมง แชมป์มองหน้าต้อมไปตลอดทาง ต้อมก็บอกว่ากูยังไม่ตายตลอด แล้วอยู่ๆ ต้อมเลยถามว่า ถ้ากูตายจะกลัวกูมั้ย แชมป์เลยบอกว่าถ้ากลัวกูจะขับรถให้นั่งเหรอ พอถึงโรงพยาบาล ต้อมบอกหิวน้ำ เดี๋ยวไปซื้อน้ำที่โรงอาหาร ต้อมไปซื้อน้ำนานมาก แชมป์เลยเดินไปห้องเก็บศพก่อน ก็มีกลุ่มเพื่อนอยู่ ก็มีเพื่อนมาทักว่าแชมป์ว่า ไอ้ต้อมคงรักมาก เพราะกูเห็นมันมากับ แชมป์เลยบอกเพื่อนว่า มันยังไม่ตาย มันมากับกู สักพักต้อมเดินมา เพื่อนเลยวิ่งหนีไปเลย สักพักแชมป์กับต้อมก็เดินไปที่บอร์ดรายชื่อ ปรากฏว่าเป็นชื่อต้อมจริงๆ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เข้าไปดู เพราะต้องเป็นญาติเท่านั้น ต้อมเลยโชว์บัตรประชาชนแล้วบอกว่า รายชื่อมีผมอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่ก็งง เลยอนุญาติให้เค้า พอไปดูศพ ปรากฏว่าเป็นเสื้อช๊อปของต้อม มีชื่อต้อม แชมป์เลยตัดสินใจเปิดผ้าปิดหน้าออก ปรากฏว่าไม่ใช่ต้อม ต้อมถึงกับปากสั่นมือสั่น แล้วบอกว่า ถ้าไม่มีเมิง..กูคงตายไปแล้ว 

 ขอบคุณที่มา https://pantip.com/topic/35092208/story

..........................................................................

...........................................................................

 
 


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องผีที่สมุทรปราการ

เรื่องผีที่ร้อยเอ็ด

เรื่องผีที่ลำปาง